วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2560

พีโอ โพโลเนียม

ดย "มาดามกูรี" และแรงด้วยรังสีแอลฟา แต่ไม่เคยมีใครใช้เพื่อการฆาตกรรมมาก่อน วิธีทำให้เหยื่อตายต้องให้กลืนกินหรือสูดดมเข้าร่างกาย ขณะที่เจ้าหน้าที่รัสเซียระบุห้องแล็บหมีขาวหลายแห่งสามารถผลิตได้
       
       แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจของอังกฤษจะยังคงระบุว่าการตายของ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก (Alexander Litvinenko) อดีตสายลับรัสเซียเป็น "การตายที่ไม่สามารถอธิบายได้" แต่ชัดเจนว่า "โพโลเนียม-210" (Polonium-210) ซึ่งพบบริเวณโต๊ะที่ผู้ตายนั่งดื่มน้ำชาในร้านอาหารญี่ปุ่นอิตซู ซูชิ (Itsu Sushi) คือสาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากแพทย์อังกฤษได้พบธาตุดังกล่าวในร่างกายเขา
       
       โดยปกติโพโลเนียม-210 เป็นสารกัมมันตรังสีที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือเครื่องเร่งอนุภาค แต่หากเข้าไปอยู่ร่างกายจะเป็นอันตรายมากกว่าไซยาไนด์ 250 ล้านเท่า เพราะโพโลเนียมเป็นธาตุที่มีความแรงรังสีสูง โดยจะปล่อยรังสีแอลฟาในปริมาณที่มากกว่าธาตุเรเดียมถึง 5,000 เท่า ปริมาณเท่า แค่ผงฝุ่นก็ทำให้ถึงตายได้ อีกทั้งยังไม่มียาแก้พิษด้วย ซึ่งรังสีแอลฟานั้นเป็นรังสีที่มีความทะลุทะลวงต่ำ เพียงแค่กระดาษก็สามารถกั้นรังสีได้ แต่หากเข้าไปอยู่ในร่างกายจะไม่สามารถผ่านผิวหนังออกมาได้ ทำให้อวัยวะภายในได้รับอันตราย
       
       ผู้ที่ค้นพบโพโลเนียมคือ มาดามมารี กูรี (Marie Curie) นักเคมีชาวโปแลนด์ โดยค้นพบร่วมกัปิแยร์ กูรี (Pierre Curie) ผู้เป็นสามี โดยมารีตั้งชื่อสารกัมมันตรังสีที่ค้นพบว่า "โพโลเนียม" พื่อเป็นเกียรติแก่บ้านเกิดเมืองนอนของเธอคือ "โปแลนด์" ในปี พ.ศ.2441 โดยทั้งสองได้ทำการทดลองในอาคารเล็กๆ ที่เป็นห้องเก็บฟืนของภาคฟิสิกส์ที่ปิแยร์สอนหนังสืออยู่ จากนั้นอีก 6 เดือนพวกเขาก็ค้นพบธาตุเรเดียมซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีเช่นกัน ต่อมานักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ก็ได้ค้นพบสารกัมมันตรังสีเพิ่มขึ้นอีก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่ามีสารกัมมันตรังสีในธรรมชาติมากกว่าที่คิด
       
       ทั้งนี้โพโลเนียมนับเป็นธาตุหายากชนิดหนึ่ง มีสัดส่วนในธรรมชาติค่อนข้างต่ำ พบปริมาณเล็กน้อยร่วมกับแร่ยูเรเนียม และพบในปริมาณที่น้อยในบุหรี่ โดยเป็นสารเพิ่มความหวานและรสชาติ ที่เติมเข้าไปกลบรสชาติกระด้างของควันบุหรี่ เพื่อสร้างความพอใจในรสชาติแก่เด็กๆ และผู้ที่เพิ่งเริ่มสูบบุหรี่เป็นครั้งแรก และยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้คนที่กินตัวแคริบู (caribou) ซึ่งกินเห็ดราที่อยู่ใกล้เหมืองแร่ยูเรเนียม ก็มีโอกาสได้รับโพโลเนียมเช่นกัน
       
       อเล็กแซนเดอร์ ปิกาเยฟ (Alexander Pikayev) นักวิเคราะห์อาวุโส จากสถาบันเพื่อการธุรกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Institute for Global Economy and International Relations) ที่ตั้งอยู่ในกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย กล่าวว่าการถือครองไอโซโทปโพโลเนียมนั้นง่ายกว่าพลูโตเนียมที่ใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์หรือยูเรเนียมที่ผ่านการเสริมสมรรถนะมาก เพราะเป็นที่เข้าใจว่าโพโลเนียมนั้นไม่ใช่สารกันมันตรังสีที่จะใช้ทำอาวุธ
       
       ทางด้านวลาดิเมียร์ สลิฟยัค (Vladimir Slivyak) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิวเคลียร์ และประธานร่วม "กลุ่มอีโคดีเฟนซ์" (Ecodefence) ซึ่งเป็นกลุ่มสิ่งแวดล้อมของรัสเซีย กล่าวว่ามีห้องปฏิบัติการหลายแห่งของรัสเซียที่สามารถผลิตโพโลเนียมได้ โดยมีโรงงานที่ค้นคว้าทางด้านนิวเคลียร์หลายแห่งที่รัสเซียให้การช่วยเหลือด้านการเงิน ร่วมทั้งโครงการอวกาศหลัก ที่ใช้ธาตุดังกล่าว
       
       ส่วนการจะนำโพโลเนียมมาฆาตกรรมใครสักคนนั้น ผู้ลงมือต้องทำให้เหยื่อกลืนกิน สูดดมหรือฉีดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งรังสีแอลฟาที่โพโลเนียมปล่อยออกมานั้นจะทำลายอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย โดยที่รังสีไม่สามารถทะลุออกมาได้ ในทางทฤษฎีนั้นฆาตกรจะต้องเคลื่อนย้ายโพโลเนียมใส่ภาชนะแก้วหรือห่อกระดาษ แล้วโรยใส่อาหารหรือเครื่องดื่ม โดยที่ฆาตกรเองต้องไม่หายใจหรือกลืนกินสารกัมมันตรังสีนี้โดยอุบัติเหตุ
       
       "เป็นวิธีที่ป่าเถื่อนมาก โดยความรู้ของผมไม่เคยมีการใช้โพโลเนียมเพื่อเป็นยาพิษมาก่อน และเหมือนกับว่าปิดบังบางอย่างไว้ มันไม่ง่ายที่จะได้โพโลเนียมมา คล้ายกับว่ามีบางองค์กรเหมือน "เคจีบี" ที่จะใช้มันเพื่องานลับสักอย่าง" คำพูดของ ดร.เอฟ ลี แคนเทรล (Dr.F. Lee Cantrell) นักพิษวิทยาและผู้อำนวยการแผนกซานดิเอโก (San Diego division) แห่งระบบควบคุมยาพิษแคลิฟอร์เนีย (California Poison Control System)
       
       ทั้งนี้การเสียชีวิตของอดีตสายลับรัสเซียในอังกฤษทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสกอตต์แลนด์ยาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านยุติธรรม และนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของอังกฤษต้องมาทำงานร่วมกันเพื่อคลี่คลายปมลอบสังหารที่เกิดขึ้น ซึ่งในขณะที่ทั้งหมดกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิด และค้นหารายละเอียดจากสถานที่ต่างๆ ที่ลิตวินเนนโกได้เดินทางไปเยือนในวันที่เขาถูกวางยาพิษ ส่วนลูกค้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เข้ามาใช้บริการพร้อมกับเขาก็ถูกเรียกตัวมาตรวจหาสารพิษ เผื่อว่าจะมีใครได้รับสารพิษเช่นเดียวกับผู้ตาย 

ลดๆๆๆๆๆ

สูตรลดน้ำหนัก 3 กิโลภายใน 7 วันเท่านั้น
น้ำหนักใครว่าลดยากลดเย็น เห็นลดกันมาตั้งนานก็ไม่ลงสักที มาค่ะ ลองมาดูสูตรนี้กัน รับรองว่าหุ่นปังภายใน 7 วันแน่นอนน!
 · โดย 
สมัยนี้สาวๆบางคนก็อยากจะรีบร้อนซะเหลือเกินในการที่จะ ลดความอ้วนแบบเร่งด่วนเลยชอบไปพึ่งพาอาศัย ยาลดความอ้วนบ้าง อาหารเสริมลดน้ำหนักบ้าง ยาดักไขมัน ยาถ่ายต่างๆนานา บ้างงงรู้กันบ้างไหมน่ะว่ามันอันตรายมากกกกจริงๆนะพวกเทอออว์ ขอบอกไว้ตรงนี้เลย!
ลดความอ้วน
เอาจริงๆ อยากผอมมันมีเงื่อนไขอยู่ 2 ประการ คือ 1. ควบคุมอาหาร 2. ออกกำลังเอาจริงๆ ถ้าทำได้แค่นี้คือจบ ไม่ต้องไปเสียเงินกับค่าลดความอ้วนต่างๆนานาอะไรทั้งนั้นทั้งส้ินเปลือง ทั้งเสียสุขภาพนะจ๊ะ ....วันนี้เราเลยจะมาบอกสูตรในการควบคุมอาหารให้สาวๆทราบกันว่า ลดความอ้วน 3 โลภายใน 7 วัน ยังไงให้ผอม ให้สวย ให้เช้งกระเด้ง ถ้าสาวๆทำได้ตามสูตรนะ บอกเลยว่า ลดจริงอะไรจริง ไม่ติงนังค่าาา :D
วันแรก มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลมื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และผักต้มไม่จำกัดจำนวน ใส่เกลือน้อยๆมื้อเย็น : สเต็กหมูหรือปลา สลัดผักราดน้ำสลัดใสหรือครีมแคลอรี่ต่ำ และผลไม้
วันที่สอง มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล และขนมปังโฮลวีท 1 แผ่นมื้อกลางวัน : สเต็กหมูหรือปลาย่าง สลัดผักและผลไม้มื้อเย็น : แฮมลวก
วันที่สาม มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล และขนมปังโฮลวีท 2 แผ่นมื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง แครอทต้ม และสลัดผักมื้อเย็น : แฮมลวก
วันที่สี่ มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล และขนมปังโฮลวีท 1 แผ่นมื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟอง แครอทต้ม และสลัดผักมื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ต
วันที่ห้า มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลมื้อกลางวัน : ปลาย่างและผักต้มมื้อเย็น : สเต็กหมูหรือปลาย่าง และสลัดน้ำใส
วันที่หก มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลมื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่เอาหนังมื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง และแครอทต้ม
วันที่เจ็ด มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลมื้อกลางวัน : ผลไม้มื้อเย็น : ทานอะไรก็ได้ตามต้องการ
ลดความอ้วน
เห็นไหมว่าง่ายๆแค่นี้ อดทนเพียง 7 วัน ควบคุมอาหารให้ดี ก็สามารถลดน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม แล้วน้าาา ...แต่ที่สำคัญ คือ ห้ามตบะแตก ถ้ายังหิวอยู่จริงๆ ก็ทานเป็นน้ำ หรือ ผลไม้เบาๆเอาให้อยู่ท้อง เช่น แอปเปิ้ล ก็ได้ค่าาและสิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ การออกกำลังกาย ต้องไปจัดไปแบบด่วนๆ เพราะว่า คนเราจริงๆทานเท่าไหร่ ก็ต้องเอาออกเท่านั้น จะได้ไม่เก็บสะสมเป็นไขมันมากวนใจเรานะจ๊ะ
ลองไปเล่นโยคะ กีฬาเบาๆเพื่อลดน้ำหนักก็ได้ อาทิตย์ละ 3 วันแค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วค่าา วันละชั่วโมง หาเวลาไปน้าสาวๆอยากจะสวย อยากจะผอม ต้องลงมือทำนะคะสิ่งใดใดในโลกไม่สามารถช่วยเราให้ลดความอ้วนได้ นอกจากใจที่เข็มแข็งอยากจะลดจริงๆ ตั้งใจก็ทำได้กันทุกคนอยู่แล้วค่า คอนเฟิร์มไว้ตรงนี้เลย! Credit :
อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai.com/articles/how-to-lose-3-kilos-in-7-days?gclid=Cj0KEQiAhs3DBRDmu-rVkuif0N8BEiQAWuUJr2jStoW8Jo9KuA1o8cAqDvzRyTMSHX9Xc_Rp06zbCxcaAuUi8P8HAQ&ref=ct

อาคิมิดิส

อาร์คิมีดิส (Archimedes)
 
อาร์คิมีดิส เป็นนักวิทยาศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยกรีกโบราณ เป็นผู้บัญญัติกฎและพิสูจน์กฎนั้นด้วยการปฏิบัติและทดลองด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นแบบอย่างและวิธีการที่นักวิยาศาสตร์ในปัจจุบันปฏิบัติกันอยู่นอกจากเป็นนักคิดและนักค้นคว้าแล้ว เขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยการสร้างเครื่องผ่อนแรงในการส่งหลายอย่าง จนได้ชื่อว่าบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ปฏิบัติ 
อาร์คิมีดิส (Archimedes) เกิดที่ซีราคิวในเกาะซิซิลี ก่อนคริสตศักราช 248 ปี เป็นบุตรของนักดาราศาสตร์ผู้หนึ่ง เขาจบการศึกษาจากนครอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และมีความสนใจในการศึกษาทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ภายหลังจบการศึกษาแล้ว เขาได้อุทิศเกือบทั้งชีวิตในการศึกษาค้นคว้าและทดลอง โดยได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์เฮียโร
            อาร์คิมีดิสใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่กับท่าเรือ และจากนิสัยการเป็นนักคิดและนักประดิษฐ์นั่นเอง เขาจึงสร้างเครื่องผ่อนแรงในการส่งสินค้าที่ท่าเรือหลายอย่าง โดยได้คิด ทฤษฎีของคาน ลูกรอก และระบบรอกที่มีรอกหลายตัว 

เขาได้เคยคิดว่า หากใครหาที่ให้เขายืนนอกโลกได้ เขาสามารถใช้คานยกโลกทั้งโลกได้
          
ซึ่งเป็นแนวทางและต้นแบบในการสร้างเครื่องผ่อนแรงในยุคปัจจุบัน ผลงานอีกชิ้นที่ใช้กันมา จนทุกวันนี้ก็คือ การสร้างระหัดวิดน้ำ หรือที่มีชื่อ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 
ระหัดวิดน้ำแบบอาร์คิมีดิส หรือ ระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส (Archimedes’s Screw)” เป็นอุปกรณ์ช่วยผันน้ำขึ้นจากที่ต่ำ เพื่อใช้สำหรับวิดน้ำขึ้นมาจากบ่อหรือแม่น้ำ 
            ระหัดวิดน้ำของ
อาร์คิมีดิสประกอบ ไปด้วยท่อทรงกระบอกขนาดใหญ่ภายในเป็นแกนระหัด มีลักษณะคล้ายกับดอกสว่าน เมื่อต้องการใช้น้ำ ก็หมุนที่ด้ามจับระหัดน้ำก็จะไหลขึ้นมาตามเกลียวระหัดนั้น ซึ่งต่อมามีผู้ดัดแปลงนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น การลำเลียงถ่านหินเข้าสู่เตา และนำเถ้าออกจากเตา การบดเนื้อสัตว์ เป็นต้น ซึ่งทำให้เสียแรงและเวลาน้อยลงไปอย่างมาก 
              นอกจากนี้อาร์คิมีดีสได้ประดิษฐ์เครื่องผ่อนแรงขึ้นอีกหลายชิ้น เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับชาวเมือง ได้แก่ คานดีดคานงัด (Law of Lever) ใช้สำหรับในการยกของที่มีน้ำหนักมาก ซึ่งใช้วิธีการง่าย ๆ คือ ใช้ไม้คานยาวอันหนึ่ง และหาจุดรองรับคาน (Fulcrum) ซึ่งเมื่อวางของบนปลายไม้ด้านหนึ่ง และออกแรงกดปลายอีกด้านหนึ่ง ก็จะสามารถยกของ
ที่มีน้ำหนักมากได้อย่างสบาย 

              นอกจากคานดีดคานงัดแล้ว อาร์คิมีดีสได้ประดิษฐ์รอก ซึ่งเป็นเครื่องกลสำหรับยกของหนักอีกชนิดหนึ่ง เครื่องกลผ่อนแรงทั้งสองชนิดนี้ อาร์คิมีดีสคิดค้นเพื่อกะลาสีเรือหลวงที่ต้องยกของหนักเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เครื่องกลผ่อนแรงของอาร์คิมีดีส มีอีกหลายอย่าง ได้แก่ รอกพวง ซึ่งใช้หลักการเดียวกันกับรอกและล้อกับเพลา ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายของที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก เช่น ก้อนหิน เป็นต้น
              เครื่องกลผ่อนแรงของอาร์คิมีดีสถือได้ว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชากลศาสตร์ และยังเป็นที่นิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งได้มีการนำเครื่องกลผ่อนแรงเหล่านี้มาเป็นต้นแบบเครื่องกลที่สำคัญในปัจจุบัน เช่น ล้อกับเพลา มาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เป็นต้น

               อาร์คิมีดีสไม่ได้เพียงแต่สร้างเครื่องกลผ่อนแรงเท่านั้น เขายังมีความชำนาญเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เขาสามารถคำนวณหาพื้นที่หน้าตัดของทรงกรวย ทรงกลม และทรงกระบอกได้ โดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ที่เขาเป็นคนคิดค้นขึ้น และหาค่าของ p ซึ่งใช้ในการหาพื้นที่ของวงกลม

               
ผลงานการคิดค้นที่ได้รับการกล่าวขวัญและมีชื่อเสียงมากๆของ
อาร์คิมีดิสก็คือ การตั้งกฎการหาความถ่วงจำเพาะของวัตถุต่างๆ

     เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง กษัตริย์เฮียโรทรงสงสัยว่ามงกุฎที่ทำด้วยทองคำของพระองค์จะถูกช่างทองเจือเงินเข้าไปด้วยเพื่อยักยอกทองบางส่วนไว้ แต่พระองค์ไม่ทราบว่าจะหาวิธีใดที่จะตรวจสอบโดยไม่ต้องนำมงกุฎไปหลอม จึงทรงให้อาร์คิมีดิสซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และเพื่อนของพระองค์เป็นผู้พิสูจน์

             การต้องรับผิดชอบในงานนี้ทำให้อาร์คิมีดิสต้องใช้ความคิดอย่าง
หนัก ตอนแรกเขามองไม่เห็นทางที่จะตรวจสอบโดยไม่ต้องหลอมมงกุฎเลย แต่แล้วในที่สุดเขาก็ได้รับคำตอบในขณะกำลังจะอาบน้ำ เมื่อเขาก้าวเท้าลงไปในอ่างน้ำซึ่งมีน้ำอยู่เต็ม เขาสังเกตเห็นว่าน้ำในอ่างน้ำบางส่วนจะล้นออกมา เมื่อเขาก้าวลงไปและคิดว่าถ้าเขาเป็นคนอ้วน น้ำก็คงจะล้นออกมามากกว่านี้ และทันใดนั้นเขาก็กระโดดออกจากอ่างและตะโกนว่า 
ยูเรกา ยูเรกา” (ซึ่งในภาษากรีกแปลว่าฉันรู้แล้ว)เสียงดังลั่น 
             ที่อาร์คิมีดิสตื่นเต้นเพราะน้ำที่ล้นออกจากอ่างทำให้เขาคิดหาแก้ปัญหาของกษัตริย์ได้ เขาทราบว่าเงินหนักครึ่งกิโลกรัมจะมีปริมาณมากกว่าทองที่มีน้ำหนักที่มีน้ำหนักเท่ากัน
 
ดังนั้นถ้าเขาจุ่มก้อนเงินลงในถ้วยที่มีน้ำเต็ม น้ำจะล้นออกมามากกว่าเมื่อจุ่มทองที่มีน้ำหนักเท่ากันลงไป เช่นเดียวกับคนอ้วนที่จะทำให้น้ำล้นออกจากอ่างมากกว่าคนผอม 
              โลหะเงินผสมทองก็จะทำให้ปริมาณน้ำล้นออกมาน้อยกว่าเงินบริสุทธิ์ แต่จะมากกว่าทองบริสุทธิ์ อาร์คิมีดิสจึงชั่งมงกุฎและทองแท่งหนึ่งให้มีน้ำหนักเท่ากันแล้วเอามงกุฎและทองจุ่มลงในถ้วยที่มีน้ำเต็ม เขาพบว่า มงกุฎทำให้น้ำล้นออกมามากกว่าทอง เขาจึงทราบว่ามงกุฎนั้นไม่ได้ทำจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด แต่มีโลหะเงินและโลหะอื่นๆเจือปนอยู่
จากนั้นอาร์คิมีดิสก็เริ่มค้นคว้าหาวิธีการที่จะหาปริมาณของเงินบริสุทธิ์ที่ผสมอยู่ในมงกุฎ โดยนำเอาเงินบริสุทธิ์หนักเท่ามงกุฎใส่ลงในถ้วยน้ำ และเปรียบเทียบปริมาตรของน้ำที่ล้นออกมาแต่ละครั้ง ด้วยวิธีนี้ทำให้เขาคำนวณได้ว่าในมงกุฎมีโลหะแต่ละชนิดผสมอยู่อย่างละเท่าไหร่ เมื่อได้คำตอบแล้วเขาก็นำไปกราบทูลให้กษัตริย์เฮียโรทรงทราบ ทำให้พระองค์พอพระทัยมาก จึงพระราชทานรางวัลให้เขาและลงโทษช่างทองผู้คดโกง
             ต่อมาเมื่อเขาได้ไปอาบน้ำ ที่อ่างสาธารณะอีกครั้งหนึ่ง เขาก็พบว่า น้ำในอ่างได้พยุงตัวเขาไว้ ทำให้ตัวของเขาโอนเอนเหมือนกับทุ่น และเบาลอยขึ้น เขาได้นำปัญหานี้กลับมาทดลอง และพบความจริงว่า ถ้าวัตถุจมอยู่ในของเหลว ของเหลวจะออกแรงไว้เท่ากับ น้ำหนักของเหลวที่วัตถุนั้นแทนที่
            อันนี้หมายความว่า ถ้าเราเอาเหล็กก้อนหนึ่ง หนัก 8 ปอนด์ ไปใส่ลงในอ่างน้ำ ซึ่งมีน้ำเต็มอยู่ น้ำก็จะล้นออกมามีปริมาตร เท่ากับเหล็กก้อนนั้น เพราะเหล็กเข้าไปแทนที่น้ำในอ่างนั้น ถ้าเราเอาน้ำที่ล้นออกมาจากอ่างนั้นมาชั่งดู จะหนัก 1 ปอนด์ ถ้าเราชั่งน้ำหนักของเหล็กก้อนนั้นในน้ำบ้าง ก็จะเห็นว่าเหลือน้ำหนักเพียง 7 ปอนด์ แสดงว่าน้ำหนักหายไป 1 ปอนด์ น้ำหนักของเหล็กที่หายไปในน้ำ 1 ปอนด์นี้ จะเท่ากับน้ำหนักของน้ำ ที่ถูกเหล็กแทนที่ หรือน้ำหนักของน้ำที่ล้นออกมา แสดงว่าน้ำออกแรงพยุงเหล็กเท่ากับ น้ำหนักของน้ำที่ถูกเหล็กแทนที่
               นอกจากนี้ เขายังทดลองและค้นพบว่า ถ้าวัตถุลอยน้ำปริ่มๆ แล้ว น้ำหนักของวัตถุก้อนนั้น จะเท่ากับน้ำหนักของน้ำ ที่วัตถุนั้นแทนที่ ถ้าหากว่าวัตถุนั้นบางส่วนจมอยู่ในน้ำ และบางส่วนลอยอยู่เหนือน้ำแล้ว น้ำหนักของวัตถุก้อนนั้น จะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่มีปริมาตร เท่ากับส่วนจมของวัตถุนั้น ซึ่งเรียกว่า แรงลอยตัว (Bouyancy)
                ด้วยเหตุผลอันนี้เอง ทำให้คนเราสามารถลอยตัว และว่ายน้ำได้ เพราะว่าร่างกายของเรา มีน้ำหนักใกล้เคียง กับน้ำหนักของน้ำ ที่ตัวเราเข้าไปแทนที่ การค้นพบนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเรือที่มีน้ำหนักมาก และมีปริมาตรมากจึงลอยน้ำได้ ทั้งนี้เพราะมันแทนที่ น้ำได้มากนั่นเอง
จากเหตุการณ์นี้ เขาได้ให้หลักการเกี่ยวกับการลอยและการจมของวัตถุ ซึ่งเรียกว่า หลักของอาร์คิมีดิ ว่า น้ำหนักของวัตถุที่หายไปในน้ำ จะเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกวัตถุนั้นแทนที่” 
             ความสามารถนี้ได้ทำให้กษัตริย์เฮียโรทรงชื่นชมในตัวอาร์คิมิดีสมาก ดังนั้น เมื่อนายพล มาร์เซลลัส (Marcellus) แห่งโรม ยกกองทัพมาโจมตีเมืองซีราคิวในปี 212 ก่อนคริสต์ศักราช กองทัพโรมันยกทัพเข้าตีเมืองซีราคิวโดยยกทัพเรือมาปิดล้อมเกาะซีราคิวไว้ อาร์คิมีดีสมีฐานะนักปราชญ์ประจำราชสำนัก จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพบัญชาการรบป้องกันบ้านเมือง อาร์คิมีดีสได้ประดิษฐ์อาวุธขึ้นหลายชิ้นในการต่อสู้ครั้งนี้ ได้แก่ เครื่องเหวี่ยงหิน โดยอาศัยหลักการของคานดีดคานงัด เครื่องเหวี่ยงหินของอาร์คิมีดีสสามารถเหวี่ยงก้อนหินข้ามกำแพงไปถูกเรือของกองทัพโรมันเสียหายไปหลายลำ
อาวุธอีกชนิดหนึ่งที่ อาร์คิมีดีสประดิษฐ์ขึ้น คือ โลหะขัดเงามีลักษณะคล้ายกระจกเว้าสะท้อนแสง เมื่อใช้ส่องกับแสงอาทิตย์แล้วจะเกิดการสะท้องแสงไปรวมกันที่จุดโฟกัส ทำให้เกิดเปลวไฟขึ้น สามารถทำให้เรือของกองทัพโรมันไหม้ไฟได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องกลอีกชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับตอร์ปิโดในปัจจุบัน เรียกว่า "เครื่องกลส่งท่อนไม้" ซึ่งใช้ส่งท่อนไม้ขนาดใหญ่ด้วยกำลังแรงให้แล่นไปในน้ำ เพื่อทำลายเรือข้าศึก
จนกองทัพทั้งกองต้องถอยห่างออกไปไกลโพ้นพิสัยของกระสุนหิน เมื่อไม่มีโอกาสจะบุกถึงกำแพงเมือง กองทหารโรมันยุคนั้นถึงกับคิดว่า กองทัพตนกำลังต่อสู้กับเทพเจ้าหรืออย่างไร เพราะเพียงแต่เห็นเชือกห้อยจากกำแพงเมือง ทหารโรมันต่างก็พากันวิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิต เพราะคิดว่าตนกำลังถูกอาวุธของอาร์คิมิดีสทำร้าย 
           เมื่อต่อสู้กันตรงๆ ไม่ได้ กองทัพโรมันจึงใช้วิธีโอบล้อมซีราคิวเพื่อให้ชาวเมืองอดอาหารตาย แต่ก็เหมือนฟ้ากำหนด เพราะเมื่อถึงเทศกาลสรรเสริญเทพธิดา Diama ชาวเมืองซีราคิวที่ได้พยายามต่อสู้กองทัพโรมันมานาน 3 ปี ได้ลืมตัว ดื่มสุรายาเมาจนลืมรักษาเมือง นายพลมาร์เซลลัสจึงได้โอกาสเข้าโจมตีอีกครั้ง และสามารถเข้าเมืองได้ในที่สุด จากนั้นนายพลมาร์เซลลัสก็ได้ให้ทหารค้นหาอาร์คิมิดีส เนื่องจากชื่นชมในความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก  
           ในขณะที่ตามหาอาร์คิมิดีส ทหารได้พบกับ อาร์คิมิดีสกำลังใช้ปลายไม้ขีดเขียนบางอย่างอยู่บนพื้นทราย แต่ทหารผู้นั้นไม่รู้จักอาร์คิมิดีส เมื่อ ทหารเข้าไปถามหาอาร์คิมิดีส เขากลับตวาด ทำให้ทะเลาะวิวาทกัน ทหารผู้นั้นใช้ดาบแทงอาร์คิมิดีสจนเสียชีวิต (ก่อนปีคริสตศักราช 323 ปี รวมอายุได้ 75 ปี)
เมื่อนายพลอาร์เซลลัสทราบเรื่องก็ เสียใจเป็นอย่างมากที่ต้องสูญเสียนักปราชญ์ที่มี ความสามารถอย่างอาร์คิมีดิสไป ดังนั้น เขาจึงรับอุปการะครอบครัวของ อาร์คิมิดีสและสร้างอนุสาวรีย์เพื่อให้ระลึกถึงความสามารถของอาร์คิมีดิส อนุสาวรีย์แห่งนี้มีลักษณะรูปทรงกลมอยู่ในทรงกระบอก

             จากผลงานการประดิษฐ์เครื่องกลผ่อนแรงของอาร์คิมีดิส ถือได้ว่าเขาเป็นผู้ให้กำเนิดวิชากลศาสตร์ เป็นบิดาแห่งกลศาสตร์ที่แท้จริง เนื่องจากวิชากลศาสตร์ เป็นวิชาที่มีประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน และสิ่งประดิษฐ์ของเขามักจะเป็นเครื่องผ่อนแรงที่มีประโยชน์และใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้  

หลักของอาร์คิมีดิส


 
 
 

              เมื่อนำวัตถุลงไปแทนที่ ของเหลวจะมีแรงต้านเท่ากับน้ำหนักของของเหลวปริมาตรเท่าส่วนจม จากหลักการนี้ทำให้เข้าใจในหลักการหลายอย่าง เช่น เรือเหล็กทำไมจึงลอยน้ำ ของเหลว ต่างชนิดกันมีความหนาแน่นต่างกัน อาร์คีมีดีสชี้ให้เห็นถึงเรื่องความหนาแน่นและนำมาเทียบกับน้ำเรียกว่า 
ความถ่วงจำเพาะ 
และได้ให้หลักการเกี่ยวกับการลอยและการจมของวัตถุ ซึ่งเรียกว่า หลักของอาร์คิมีดิส มีใจความว่า
วัตถุใด ๆ ที่จมอยู่ในของไหลทั้งก้อนหรือจมอยู่เพียงบางส่วน จะถูกแรงลอยตัวกระทำ และขนาดของแรงลอยตัวนั้นจะเท่ากับขนาดของน้ำหนักของของไหลที่ถูกวัตถุแทนที่

เกาะช้างงง

ประวัติ เกาะช้าง

สำหรับ อุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือที่นิยมเรียกกันจนติดปากว่า เกาะช้าง นั้นตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จังหวัดตราด และเป็นจังหวัดชายแดนภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเกาะช้างนับว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทะเลอ่าวไทย และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศรองลงมาจากเกาะภูเก็ต มีพื้นที่รวม 268,125 ไร่ จากลักษณะการเรียงตัวกันของบรรดาหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกว่า 52 เกาะ มีลักษณะคล้ายกับรูปโขลงช้างเดินเรียงตัวกัน จึงเป็นสาเหตุให้เรียกหมู่เกาะแห่งนี้ว่า เกาะช้าง โดยลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง มีผาหินสลับซับซ้อน มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาสลักเพชร อีกทั้ง เกาะช้าง ยังมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบเขาทำให้เกิดเป็นน้ำตกหลายสาย

โดยในช่วงฤดูที่เป็นต้นฝนปลายร้อนแบบนี้ อากาศก็เหมาะเป็นอย่างมากในการเดินทางไปตากลมชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตาที่ทะเล ซึมซับบรรยากาศดีๆ ผ่อนคลายสมองด้วยการมองดูน้ำทะเลใสๆ รับลมทะเลกันสักหน่อยก็น่าจะฟินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน สนุก! ท่องเที่ยว เลยขอแนะนำ “ เกาะช้าง ” สถานที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขที่จะทำให้คุณสุขใจสุดๆ ที่ได้มา

ชายหาด
ชายหาด

ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายัง เกาะช้าง ได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ถือว่าเป็นฤดูการท่องเที่ยวของที่นี่คงหนีไม่พ้นช่วงหน้าร้อน โดยสำหรับที่นี่แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศบนเกาะจะไม่ร้อนมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น มีภูเขาสูง เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย รวมถึงน้ำตกต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ ส่วนพื้นที่ราบบริเวณเชิงเขาจะเป็นพื้นที่สำหรับการปลูกยางพาราและผลไม้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะ อาทิ สับปะรด แตงโม ทุเรียน เป็นต้น อีกทั้งยังมี 8 หมู่บ้าน ได้แแก่ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่ เกาะช้าง พื้นที่บางส่วนก็ยังเป็นสถานที่พักแรม ร้านอาหาร ตลอดจนสถานบันเทิงต่างๆ ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอีกด้วย

อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง

อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง
การมาเที่ยวที่ เกาะช้าง มีกิจกรรมให้เลือกหลากหลายแล้วแต่ความชอบจะเป็นว่ายน้ำเล่นที่ชายหาด เที่ยวน้ำตก ปีนเขา เดินป่า ขี่ช้าง ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือจะไปดำน้ำดูปะการังท่ามกลางฝูงปลาน้อยใหญ่สีสันสวยงามแปลกตาตามหมู่เกาะรังหรือเกาะหวาย ที่นี่น้ำทะเลสวยใสมากทำให้เห็นปลาและปะการังได้อย่างชัดเจน เพียงแค่นำเรือมาจอดตรงจุดดำน้ำเหล่าปลาสลิดหินลายก็ออกมาต้อนรับกันอย่างคับคั่งสามารถมองเห็นได้แม้อยู่บนเรือเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้สำหรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก และเมื่อได้ดำน้ำลงไปก็สามารถเห็นปลาอีกหลากหลายชนิด เช่น ปลานกแก้ว ปลาปักเป้าลูกไก่ ปลาการ์ตูนอินเดียแดง ดอกไม้ทะเล หอยเม่น ปลิงทะเล ฯลฯ ดูเหมือนว่าเรากำลังว่ายน้ำอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่

ชายหาดเกาะช้าง

ชายหาดเกาะช้าง
การเดินทางไปเกาะช้าง

มาที่จังหวัดตราดนั้นประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ระหว่างทางนักท่องเที่ยวสามารถแวะพักดื่มกาแฟที่ร้านหลวงปู่กาแฟสด L.P Coffee ร้านสวยบรรยากาศดี มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายเมนู อยู่ระหว่างทางจากระยองมุ่งสู่จังหวัดจันทบุรี ร้านอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 3 ฝั่งตรงข้ามทางแยกเข้าร้านตำนานป่า มีป้ายบอกชื่อร้านอย่างเด่นชัด เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็ขับรถมุ่งตรงมายังจังหวัดตราด มาที่แหลมงอบ ที่นี่มีท่าเรือเฟอร์รี่ให้ลงได้ 2 จุด คือ ท่าเรือ เกาะช้าง เฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติและท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลข้ามไปได้ ถนนบนเกาะลาดยางสะดวกสบาย แต่มีเพียงบางช่วงที่ทางค่อนข้างลาดชันจึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญบนเกาะนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

สถานที่เที่ยวใน เกาะช้าง

แต่สำหรับใครที่เดินทางมาถึง เกาะช้าง แล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนบนเกาะดี เราก็ได้นำเอาสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ชิคๆ มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้เดินทางไปเยือนกัน

1. หาดคลองพร้าว

หาดคลองพร้าวตั้งอยู่ทางด้านตะวันของ เกาะช้าง อยู่ถัดมาจากหาดทรายขาวประมาณ 4 กิโลเมตร ลักษณะของหาดคลองพร้าวเริ่มต้นจากแหลมไชยเชษฐ์ยาวไปจนถึงหาดไก่แบ้ ชายหาดมีบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยทิวมะพร้าว บริเวณริมหาดเรียงรายไปด้วยรีสอร์ทและร้านอาหารที่เปิดให้บริการ แต่ไม่อดอัดมา นับว่ายังคงรักษาความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวเอาไว้ดีพอสมควร เหมาะมากที่จะเดินทางมาพักผ่อน ลุยทราย เล่นน้ำทะเลใส หรืออาจจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นกีฬาริมหาดก็เก๋ไม่เบาอยู่เหมือนกันนะ

2. หาดไก่แบ้

หาดไก่แบ้ตั้งอยู่ถัดห่างจากท่าเรืออ่าวสับปะรดประมาณ 15 กิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ถัดไปจากหาดคลองพร้าว เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำ ซึ่งจุดชมวิวจะอยู่ทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกสีสันสวยงามได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นความสวยงามของเกาะมันใน เกาะมันนอก เกาะปลี และเกาะหยวกได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครที่ต้องการเวลาพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ มีชายหาดที่สามารถลงเล่นน้ำได้ หรืออยากจะนอนอาบแดดสบายๆ หาดไก่แบ้ก็ถือว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งหมดได้อย่างลงตัว

3. หาดท่าน้ำ

หาดท่าน้ำ หรือ Lonely Beach มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดใหญ่ มีหาดทรายยาวไปจนสุดแหลมท่าน้ำ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายทุกรูปแบบ มาอิงแอบนั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง มองบรรยากาศชายทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา หรือจะลงเล่นน้ำทะเลสีฟ้าใสให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำก็ดูจะเข้าที ที่นี่ ให้บรรยากาศความเป็นส่วนตัวในแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำกันได้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เรียกได้ว่าเหมาะเป็นอยากมากหากใครจะมาพักผ่อนในวันหยุดยาว และใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนเดินทางกันที่หาดท่าน้ำ

4. อนุสรณ์ยุทธนาวี

อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเป็นสถานที่เที่ยวชมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เกาะช้าง ใกล้อ่าวสลักเพชร ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการสู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกรณีพิพาททางเขตแดนด้านตะวันออก โดยในอดีตฝ่ายไทยนั้นสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไปได้ แต่ต้องสูญเสียเรือรบหลวง 3 ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี อีกทั้งยังได้สูญเสียทหารพลประจำเรือถึง 36 นาย บริเวณภายในเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หันพระพักตร์ไปยังบริเวณยุทธนาวี เกาะช้าง ด้านล่างของอนุสาวรีย์ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับเรือรบจำลอง เพื่อระลึกถึงเรื่องราวการสู้รบระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือฝรั่งเศส อีกทั้งในวันที่ 17 มกราคมของทุกปี กองทัพเรือยังถือเป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเรือไทยที่ได้สละชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ปกปองแผ่นดินไทย สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และเป็นที่เคารพสักการะของคนในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยว

5. น้ำตกธารมะยม

น้ำตกธารมะยมตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง มีเส้นทางเดินเข้าไปยังน้ำตกไม่ลำบากมากนัก ซึ่งนับว่าเป็นความพิเศษของที่นี่ น้ำตกธารมะยม เป็นน้ำตกขนาดกลาง 4 ชั้น มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านลงมาเป็นชั้นๆ ตามร่องหินแกรนิตสีดำ บริเวณโดยรอบเป็นป่าดงดิบ อีกทั้งมีหน้าผาสูงชันจนเกือบตั้งฉาก อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การมาตั้งแคมป์ เล่นน้ำตก และเดินป่าเป็นอย่างยิ่ง บริเวณชั้นที่ 1 ของน้ำตกจะมีแอ่งน้ำด้านหน้าที่ไม่สูงมากนัก น้ำตกชั้นที่ 2 จะอยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อย ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 มีระยะทางค่อนข้างไกล เดินทางลำบาก ซึ่งทางอุทยานได้จัดทำเป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกลสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะเดินป่า รวมถึงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

6. บ้านช้างไทย

บ้านช้างไทยเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนรักช้างจะต้องชื่นชอบ อยากให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการชมวิวบนหลังช้างที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งที่บ้านช้างยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เราได้ลองทำ อาทิ กิจกรรมขี่ช้างชมไพร หรือการอาบน้ำให้ช้าง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโชว์การแสดงความสามารถพิเศษของช้างน้อย อย่าง การระบายสี เต้นระบำ หรือการนวด รับรองได้ว่าใครที่ได้เดินทางมาที่นี่จะต้องได้ความประทับใจ พร้อมกับรูปถ่ายกลับไปเต็มกระเป๋าอย่างแน่นอน

แนะนำ ที่พักบน เกาะช้าง

ที่ เกาะช้าง ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวนั้น แต่ยังมีที่พักสุดเก๋ไก๋ บรรยากาศดีไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายัง เกาะช้าง บางแห่งอยู่ใกล้น้ำตก บางแห่งอยู่ใกล้ชายหาด ก็สามารถเลือกกันได้ว่าแต่ละคนมีความชอบแบบไหน แต่แน่นอนเมื่อพูดถึงแล้วต้องไม่ได้มามือเปล่า เราได้เสาะหาที่พักบน เกาะช้าง เล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันด้วย เอาไว้สำหรับเป็นตัวเลือกในการท่องเที่ยวครั้งต่อไป เผื่อว่าครั้งอยากจะค้างแรมบน เกาะช้าง

โรงแรมบ้านปู เกาะช้าง
(โรงแรมบ้านปู)

โรงแรมบ้านปู เกาะช้าง
โรงแรมบ้านปู

เริ่มต้นกันด้วยที่พักบน เกาะช้าง สุดแสนเรียบง่าย แต่บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ กับ โรงแรมบ้านปู เป็นสถานที่พักผ่อนที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ อบอวนไปด้วยความเป็นส่วนตัว ผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติบนบริเวณพื้นที่หาดทรายขาวที่นับว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดจุดหนึ่งของ เกาะช้าง มีการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้พื้นเมืองของจังหวัดตราด ห้องพักทุกห้องมีลักษณะเป็นบ้าน ภายในตกแต่งด้วความเป็นพื้นเมือง ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ ที่ใครที่มีโอกาสเดินทางมาที่ เกาะช้าง ก็อย่าลืมลองแวะมาพักที่นี่กัน

รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา
(รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา)

รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา
รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา

มาต่อกันด้วยที่พักใจกลางธรรมชาติบน เกาะช้าง ซึ่งโอบล้อมไปด้วยทิวเขาและพันธุ์ไม้อันเขียวขจีบนหาดคลองพร้าว อย่าง รามายานา เกาะช้าง รีสอร์ท แอนด์ สปา มีการออกแบบและตกแต่งบริเวณโดยรอบในสไตล์โอเร็ลตัลร่วมสมัยที่มีความหรูหรา กว้างขวาง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากมหากาพย์วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ บนพื้นที่ 17 ไร่ มีห้องพักไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวกว่า 65 ห้อง ซึ่งห้องพักแต่ละห้องได้มีการนำชื่อของตัวละคร รวมถึงสถานที่สำคัญๆ ในเรื่องมาเป็นชื่อประจำห้อง อีกทั้งยังมีสไตล์การตกแต่งที่เฉพาะตัวในแต่ละห้องอีกด้วย เรียกได้ว่าเมื่อนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ยังไงก็ไม่ผิดหวังแน่นอน

โคโคนัท บีช รีสอร์ท เกาะช้าง
(โคโคนัท บีช รีสอร์ท)

โคโคนัท บีช รีสอร์ท เกาะช้าง
โคโคนัท บีช รีสอร์ท เกาะช้าง

มาต่อกันด้วยที่พักแห่งสุดท้ายที่เรานำมาฝาก เรียกได้ว่าแปลกแต่น่าไปหย่อนตัวลงบนเตียงสุดๆ กับ โคโคนัท บีช รีสอร์ท นับว่าเป็นสถานที่พักแห่งใหม่บน เกาะช้าง ตั้งอยู่หาดคลองพร้าว โดยเขากล่าวกันว่าเป็นที่พักที่รวมความแตกต่างของบังกะโลเอาไว้มากที่สุด ส่วนด้านหลังก็ได้มีการสร้างเป็น โรงแรมโคโคนัท บีช รีสอร์ท ซึ่งเปิดได้ไม่นาน มีการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้เมืองร้อนเอาไว้ในสวนดูร่มรื่น อีกทั้งยังมีมุมติดวิวทะเล ป่าฝนบนภูเขาที่อยู่ด้านหลังดูสวยงาม บรรยากาศดีเอามากๆ ส่วนห้องพักก็มีความสวยงาม มีการตกแต่งในรูปแบบไทยแท้ พร้อมพรั่งไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้เดินทางมาพักต้องการ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่นักท่องเที่ยวคนไหนเมื่อเดินทางมายัง เกาะช้าง ต้องลองมาสัมผัสให้ได้สักครั้ง ไม่งั้นจะเสียใจนะ !

ขอบคุณรูปภาพที่พัก: www.agoda.com

-----

นี่ยังเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของสถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือว่า เกาะช้าง ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังอยากจะมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติ ป่าสวย น้ำใส บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบเลย แล้วทำไมคนไทยถึงไม่เดินทางมาดูให้เห็นด้วยตาล่ะว่าความสวยงามอย่างที่คนอื่นว่านั้นเป็นอย่างไร แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าธรรมชาติเหล่านี้กว่าจะเติบโต เข้าที่เข้าทาง สวยงาม หาดูได้ยากอย่างทุกวันนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ร้อยกี่พันปีกว่าจะสำเร็จ เพราะฉะนั้นมาแล้วก็อย่าลืมช่วยกันรักษาธรรมชาติ อย่าเพิ่งทำลายความสวยงามจนไม่เหลือเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้ดู คราวนี้เราก็มีคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางมาที่ เกาะช้าง เผื่อว่าใครอยากมาแต่ไม่รู้ว่าจะเดินทางมาอย่างไรดี

การเดินทางไปเกาะช้าง

การเดินทางไปเกาะช้าง
การเดินทางไป เกาะช้าง

โดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปสู่จังหวัดตราดสามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ

ใช้เส้นทางสายบางนา - ตราด (ทางหลวงหมายเลข 3) ผ่าน ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี ไปจนถึงจังหวัดตราด ระยะทางประมาณ 385 กม.
ใช้เส้นทางหลวงมอเตอร์เวย์ สู่บ้านบึงแล้วใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 344 (บ้านบึง - แกลง) เมื่อถึงแกลงเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทาง หลวงหมายเลข 3 (ถ.สุขุมวิท) ผ่าน อ.ขลุง จ.จันทบุรี แล้วข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเวฬุ เข้าสู่เขต จ.ตราด ที่ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง ระยะทางประมาณ 315 กม. ซึ่งเส้นทางนี้จะสะดวกและรวดเร็วกว่าเส้นทางแรก
*** หากไม่ต้องการเข้าสู่ตัวเมืองตราด ท่านสามารถที่จะเลี้ยวขวา บริเวณแยกเขาสมิง (แยกแสนตุ้ง) หลังจากข้ามสะพานเวฬุแล้ว เพื่อไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ได้เลย

รถโดยสารประจำทาง

มีบริการเดินรถทั้งที่สถานีหมอชิตและสถานีเอกมัย สอบถามตารางเดินรถได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส.

ท่าเรือข้ามไปยัง เกาะช้าง

ท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ : มีเรือออกทุกชั่วโมง เที่ยวไป-กลับ ตั้งแต่เวลา 06.00-19.00 น. ใช้เวลาในการข้ามฟาก 30 นาที สอบถามโทร. 0-3953-8196
ท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติ : มีเรือออกทุกๆ 45 นาที เที่ยวไป-กลับ ตั้งแต่เวลา 06.30-19.00 น. ใช้เวลาในการข้ามฟาก 30 นาที สอบถามโทร. 0-3955-5188
ทัวร์ดำน้ำเกาะต่างๆ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

คุณรู้หมือไร่!!
ไม่ทาน จะอ้วนขึ้น?

ใช่แล้วค่ะ ใครๆ ก็ทราบดีว่ามื้อเช้านั้นสำคัญมากขนาดไหน เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อแรกของวัน เป็นเวลาที่ร่างกายของเราต้องการพลังงานเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ไปจนถึงตอนกลางวัน แถมยังไม่มีอะไรตกลงถึงกระเพาะอาหารตั้งแต่เมื่อคืน ดังนั้นหากเราข้ามมื้อเช้า แล้วไปทานมื้อกลางวันเลย บางคนอาจจะชินจนไม่รู้สึกอะไร แต่ขอให้ทราบเอาไว้ว่าเรามีโอกาสที่จะหิวจัด จนทานมากเกินความจำเป็น จนทำให้พลังงานสะสมในร่างกายมากเกินไป ออกมาในรูปของไขมันส่วนเกินต่างๆ ได้นั่นเอง
ควรทานอะไรเป็นอาหารเช้า ถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด?

อาหารเช้าที่ดีที่สุด คือ อาหารที่ประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างน้อย 2 อย่าง นั่นคือ

- คาร์โบไฮเดรต – แป้ง น้ำตาลจากผลไม้และผัก ย่อยออกมาเป็นน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลเชิงเดี่ยว ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ที่ร่างกายต้องการ
และเพื่อไม่ให้ระดับกลูโคสลดลงระหว่างการเดินทางไปทำงานตลอดช่วงเช้า และไม่ทำให้เราหิวเร็วเกินไป จึงควรทานผัก ผลไม้ โยเกิร์ต หรือโฮลเกรน

- โปรตีน – เนื้อสัตว์ ถั่ว นม ไข่ ช่วยควบคุมความอยากอาหารของเราไปทั้งวัน โดยโปรตีนจะถูกย่อยให้เป็นเปปไทน์ ซึ่งเปปไทน์จะส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนที่ควบคุมความหิว การทานโปรตีนถึงทำให้เราอิ่มได้นาน ไม่หิวจนเกินไปจนต้องทานอาหารมากเกินความจำเป็นในมื้อต่อๆ ไป
อาหารเช้าที่แนะนำ

- โจ๊กหมู โจ๊กใส่ไข่ ข้าวต้มหมู

- โยเกิร์ตใส่ผลไม้ (โดยเฉพาะกรีกโยเกิร์ต จะมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป)

- ข้าวโอ๊ต ใส่ผลไม้ นม

- ขนมปังโฮลวีต แซนวิช
มื้อเช้าเป็นมื้อที่ขาดไม่ได้เลยนะคะ ตื่นเช้าให้เร็วกว่าเดิมสัก 10 นาที เราก็จะมีเวลาทานอาหารเช้ากันแล้ว คราวนี้รับรองว่าสุขภาพดี ไม่อ้วนง่ายแน่นอนค่ะ

ข้อคิดนะจ๊ะ!!
 
1. หาแรงบันดาลใจระหว่างการเดินทาง

            ส่วนใหญ่เราจะใช้เวลาในการเดินทางไม่ว่าจะมุดดินหรือลอยฟ้า
ไปจมปลักกับโซ เชียลเน็ตเวิร์กเสียเป็นส่วนใหญ่ ลองเปลี่ยนมาฟัง
Podcast หรือ Audio Book หรือฟังเพลงที่ทำให้สร้างแรงบันดาลใจ
ดูไหมครับ แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำ podcast อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวไปสำหรับมนุษย์ไทยลองหยิบหนังสือมาอ่านระหว่างทางดีไหมครับ อาจจะเป็นหนังสืออ่านเล่น หรือแนวการสร้างแรงบันดาลใจก็ได้ครับ ซึ่งปกติเวลาผมไปทำงานผมจะพกหนังสือ 1-2 เล่มไว้ในกระเป๋าเพื่ออ่านเวลาเดินทางหรือต้องรอใครก็ตาม





          2. ถึงที่ทำงานก่อนเวลาทำงาน การมาก่อนเวลาทำให้เราสามารถโฟกัสว่าจะมีสิ่งใดต้องทำบ้างในวันนี้ สามารถจัดความสำคัญของงานได้ แถมยังเงียบด้วยเพราะคนอื่นเขายังไม่มากัน




          3. เช็คอีเมล หลายคนเลือกเชคเมลเป็นกิจกรรมแรกหลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ หรือจ้องจะเชคเมลตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ ลองเปลี่ยนเวลาการเชคเมลดูไหมครับ กำหนดเวลาเป็นช่วงๆ (ไม่หลินฮุ่ย) เช่น จะเชคทุก 10 โมง และ 4 โมงเย็น เป็นต้น (วิธีนี้แนะนำเหมือนในหนังสือทำน้อยให้ได้มาก The Power of Less)





           4. เวลาที่ใช้ไปในการทำงาน    ลองคิดดูว่าคุณทำงานบางอย่างโดยเสียเวลาไปแทบทั้งวันหรือเปล่า? แล้วงานที่ทำไปนั้นสำคัญขนาดไหน ลองหันมาโฟกัสงานที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกดูไหมครับ เมื่อเสร็จแล้วจึงค่อยดูอันถัดๆ ไป

          5. วางแผนการทำงาน     ลองวางแผนว่าในวันนี้คุณจะทำอะไรบ้าง มี Objective อะไรบ้างที่ต้องทำ หรือจะวางเป็นรายสัปดาห์ก็ได้เช่นกันครับ เพื่อให้เห็นภาพรวมในการทำงานทั้งหมด




          6. หาเวลาพักบ้าง   ลองกำหนดช่วงเวลาในการเบรค หยุดพักการทำงานของคุณเป็นช่วงเวลา เพราะคนเราคงไม่สามารถจดจ่อได้รวดเดียว 4 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงแน่ๆ ครับ การพักทำให้เราอาจจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ หรือเป็นการทบทวนสิ่งที่เราทำอยู่ก็เป็นได้ครับ


          7. การประชุม ให้ดำเนินการประชุมให้อยู่ในหัวข้อ และสนใจที่จะเข้าร่วมฟังหรือออกความเห็น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เมื่อออกจากห้องประชุมแล้วเราจะได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเราต้องทำอะไรและมีเป้าหมายในการทำเป็นอย่างไร



          8. ออกกำลังกาย หาเวลาในการออกกำลังกายบ้างนะครับ การออกกำลังนอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังสามารถจะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้ดีขึ้นจากสมองที่ปลอดโปร่ง



          9. ความรอบคอบ ความเร็วในการทำงานเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่เมื่อเร็วแล้วก็ต้องแลกกับอัตราความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด ลองลดความเร็วแล้วตรวจทานให้ดี เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมาทำใหม่อีกรอบครับ



          10. การสนับสนุน  ลองดูว่าสิ่งที่คุณทำไปสำเร็จมีอะไรบ้างแล้วแชร์ให้คนอื่นได้รับรู้บ้างเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนอืนๆ รวมทั้งสนับสนุนงานของเพื่อนร่วมงานของคนอื่นๆ ด้วย


          11. การร่วมกันทำงาน  อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ ลองให้คนอื่นๆ หรือถามไอเดียจากคนอื่นๆ ดูหากเราไม่สามารถคิดงานหรือทำงานต่อไปได้ (แต่ก็อย่าขอกันบ่อยจนพร่ำเพรือ)



          12. เข้าใจและยอมรับ  ฟังดูปลงๆ หน่อยนะครับ แต่หากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้องทำกันต่อไปให้ดีที่สุด (และอย่าลืมหาโอกาสที่ดีกว่าให้ตัวเองด้วย)





          13. วันหยุด สุดๆ ไปเลย! วันหยุดหลายๆ คนเลือกจะไปเดินห้างบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ลองหาอะไรทำใหม่ๆ ดูไหมครับแบบไม่ซ้ำกัน เช่น ลองออกไปต่างจังหวัด, ไปปีนเขา, ออกกำลังกายที่ไม่ใช่ในฟิตเนส (อุดอู้อยู่ในร่มทำไม ออกไปกลางแจ้งดีกว่า), เปลี่ยนที่อ่านหนังสือพร้อมจิบกาแฟชิลๆ



          14. คิดบวก อาจฟังดูโลกสวยไปสักนิด แต่การมีอารมณ์คิดบวกนั้น จะมีผลกับงานที่คุณทำ รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่จะได้ประจุบวกจากการทำงานที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นบวกไปด้วย



          15. เห็นอกเห็นใจ แม้เราจะพยายามคิดบวกแล้ว แต่ก็ต้องมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ยังคงติดอยู่กับความคิดไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวในแง่ลบอยู่ ครั้นเราจะเพิกเฉยไปเลยก็เหมือนเป็นการปล่อยลอยแพ ดังนั้นสิ่งที่เราน่าจะพอทำได้ก็คือลองยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้วยการช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็นด้านบวก ลองชี้แจงด้วยเหตุและผล ซึ่งถ้าเขาเปิดใจรับฟังน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากครับ (ในบทความที่ดึงมาบอกว่า หากเขาได้อ่านบทความนี้ด้วยจะดีมาก)


          16. การเมืองในที่ทำงาน มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งการมีเรื่องนี้แน่นอนว่าจะทำให้งานและธุรกิจไม่มีความก้าวหน้าถ้ามัวจมปลักกับเรื่องนี้ สำหรับในส่วนของงานของเราแล้ว เราหันมาโฟกัสกับสิ่งที่ทำเพื่อให้งานก้าวหน้าและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ดีกว่าจะไปหมกมุ่นเรื่องนั้นครับ



          17. การติชม คนเราย่อมชอบการชม มากกว่าคำตำหนิติเตียนใช่ไหมครับ บางครั้งเราก็ต้อง(พยายาม)เข้าใจในคำเตือนนั้นแม้มันจะไม่น่าฟังก็ตาม ดังนั้นเราก็ควรพิจารณาเลือกฟังคำติเตียนที่สามารถจะเอาไปใช้ในการปรับปรุงงานของเราให้ดีขึ้นได้ นอกนั้นก็คงต้องปล่อยวางนะครับ




          18. การปรับตัว ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจ, การงานก็เช่นกัน เราคงไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะปรับตัวให้กับสภาพและสภาวะการณ์ในปัจจุบันให้ได้ หากว่าคุณอยู่ในระดับบริหาร ลองใช้ประสบการณ์บอกเล่าว่าเราควรต้องทำอย่างไรมากกว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตี รอต่อต้านเพียงอย่างเดียว





กาตูน 13 หน่วย

13 หนว่ยพิทักา์
cr.https://sites.google.com/site/chatahawan001/rwm-khxmul-13-hnwy-phithaks
หน่วยที่ 1 ยามาโมโตะ เก็นริวไซ ชิเกคุนิ
ลักษณะ/อุปนิสัย
ยามาโมโตะ เก็นริวไซ ชิเงคุนิ เป็นชายชรา ศีรษะล้าน มีเคราสีขาวยาว ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล มีดาบฟันวิญญาณสายเพลิงที่ทรงพลังที่สุดในโซลโซไซตี้ เป็นคนที่มีนิสัยเคร่งครัดต่อระเบียบและใช้เหตุผลกับหลักการเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ ซึ่งไม่ยอมให้ใครใช้หลักคุณธรรมของตนเองจนบิดเบือนคุณธรรมของโลก และมีบุคลิกค่อนข้างจะสงบครึมยากที่จะเดาอารมณความได้ นอกจากแสดงออกมาเอง

ประวัติ 
จอมทัพแห่งสิบสามหน่วยพิทักษ์ ยามาโมโตะ เก็นริวไซ ชิเงคุนิ “ผู้ยึดมั่นในปัจจุบัน และมั่นคงอยู่เป็นนิจ” จอมทัพอาวุโสซึ่งเป็นผู้สั่งการของสิบสามหน่วยพิทักษ์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการรบ ภาพลักษณ์นั้นจะแสดงออกในรูปแบบของนักรบผู้เข้มงวดและเปี่ยมด้วยความเป็นผู้นำ เป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิญญาณชินโอและเป็นหัวหน้าหน่วยรุ่นบุกเบิก ซึ่งอายุของเขานั้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ปี
วันเกิด / 21 มกราคม
ส่วนสูง / 168 เซนติเมตร
น้ำหนัก / 52 กิโลกรัม
ดาบฟันวิญญาณ / ริวจินจักกะ
คำปลดปล่อย / “จงเผาสรรพสิ่ง ให้เป็นเถ้าถ่าน ริวจินจักกะ”
ความชอบส่วนตัว / งานเลี้ยงน้ำชาประจำเดือน
ความถนัดส่วนตัว / การซักผ้า
อาหาร / อาหารที่ชอบ - อาหารแบบญี่ปุ่นทุกชนิด
อาหารที่ไม่ชอบ - อาหารแบบตะวันตกทุกชนิด
การพักผ่อนสบายๆในวันหยุด / ออกไปรับแสงแดดที่ระเบียง


ขั้นต้น(ชิไค)
ชื่อ : ริวจินจักกะ (「流刃若火」, Ryūjin Jakka, – วิถีดาบเพลิงชำระ)
คำปลดปล่อย : "จงเผาสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน" (「万象一切灰燼と為せ」, banshō issai kaijin to nase, 万象一切灰燼と為せ)
ลักษณะ : ดาบจะคงรูปร่างเดิม แต่จะมีไฟที่ร้อนแรงลุกอาบคมดาบทั้งหมดซึ่งจะเป็นเพลิงที่แผดเผาทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้อย่างง่ายดายแม้แต่เมฆในอากาศและทุกอย่างในอากาศ
ความสามารถ :
แบบที่1 : โจคาคุเอ็นโจ(ปราการเปลวอัคคี) ปล่อยเปลวไฟออกไปล้อมศัตรูที่อยู่ด้านหน้าเป็นจำนวนมาก โดยศัตรูที่ถูกจะมีกำแพงเพลิงขึ้นมาล้อมไว้ ทำให้ไม่สามารถออกไปจากกำแพงเพลิงได้ ถ้าออกไป ร่างกายจะถูกเผาไหม้ทันที

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ(บังไค)
ไม่ปรากฏ

หน่วยที่ 2 ซุยฟง( ฟงเชาหลิน )

ลักษณะ/อุปนิสัย
ซุยฟง เป็นตัวละครที่มีรูปลักษณ์ภายนอกดูสงบแต่ก็ดุดัน สิ่งที่พิเศษคือไว้ผมมัดสองข้าง อุปนิสัยที่ดูเย็นชา แต่ก็แฝงความเงียบและโหดเหี้ยมไว้ลึกๆ หากแต่ภายในลึกๆจริงก็แฝงความอ่อนโยนไว้มากเช่นกัน

ประวัติ 
ซุยฟง มีชื่อเดิมว่า "ฟงเชาหลิน"(蜂少林 (คำว่า 少林 เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า "โชริน(shorin)" ซึ่งแปลในภาษาจีนได้เป็น "เชาหลิน"))เป็นบุตรสาวคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 6 คน ซึ่งเกิดในตระกูลฟงซึ่งเป็นตระกูลที่อุทิศตนให้กับหน่วยปราบปราม เมื่อเธอเข้ามาในหน่วยปราบปรามจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "ซุยฟง" ซึ่งเป็นชื่อรหัสที่สืบทอดมาจากย่าทวด ในระหว่างการเข้าเป็นหน่วยลับ เธอได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือหัวหน้าหน่วยปราบปรามในตอนนั้น ซึ่งก็คือ "ชิโฮอิน โยรุอิจิ" เนื่องจากความเก่งกาจและความสง่างาม จนในที่สุด เธอก็ได้เป็นองครักษ์ของโยรุอิจิ ซึ่งเธอก็ได้สาบานจะจงรักภักดีกับโยรุอิจิตลอดไป จนเมื่อวันหนึ่ง เธอได้รับข่าวว่าโยรุอิจิได้ทำการช่วยเหลือนักโทษเนรเทศอย่าง "อุราฮาร่า คิสึเกะ" จนโดนปลดจากหัวหน้าหน่วยปราบปราม ทำให้ซุยฟงแทบจะสิ้นศรัทธาในตัวของโยรุอิจิ และสาบานว่าจะจัดการโยรุอิจิด้วยตัวเอง

ดาบฟันวิญญาณ
ขั้นต้น(ชิไค)
ชื่อ : ซึซึเมะบาจิ (「雀蜂」, Suzumebachi, – ตัวต่อ)
คำปลดปล่อย : "ไล่ล่าเสียบสังหาร" (「尽敵螫殺」, jinteki shakusetsu, 尽敵螫殺)
ลักษณะ : จะแปรสภาพของดาบให้กลายเป็นมีดขนาดเล็กติดที่ข้อมือและนิ้ว รูปแบบคล้ายกับเหล็กไนของแมลง
ความสามารถ : เมื่อใช้อาวุธชิ้นนี้ทำร้ายเป้าหมายได้ครั้งหนึ่ง จะสร้างลายรอยสักขึ้นบนร่างของเป้าหมายบริเวณที่โจมตี ที่ชื่อ "โฮมงกะ" (「蜂紋華」, บุปผาลายผึ้ง, 蜂紋華?) และถ้าใช้ซึซึเมะบาจิโจมตีที่จุดนั้นอีกครั้ง ก็จะปลิดชีพเป้าหมายได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ(บังไค)
ยังไม่ปรากฏ

หน่วยที่ 3 อิจิมารุ งิน
ลักษณะ/อุปนิสัย
งิน เป็นชายร่างผอมสูง ตาตี่ ผมสีเงิน ใบหน้ามีรอยยิ้มตลอดเวลาภายใต้ความโหดเหี้ยม เขาเป็นคนลึกลับ ไม่สามารถอ่านความคิดของเขาออกได้ และมักจะทำอะไรไปโดยไม่บอกกล่าวใคร

ประวัติ 
งิน ในตอนเด็กนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองลูคอน ได้เจอกับมัตสึโมโตะ รันงิคุที่กำลังนอนหมดสติอยู่ เขาจึงให้ผลไม้เธอ โดยเขาได้บอกกับรันงิคุว่าวันที่รันงิคุพบเจอเขา คือ วันเกิดของเธอ จากนั้นวันต่อมาเข้าได้หายตัวไป โดยอิชิมารุนั้นได้เข้าสังกัดหน่วยที่ 5 โดนดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้า และมีไอเซ็น โซสึเกะเป็นหัวหน้าหน่วย ต่อมาด้วยความสามารถของเขาจึงได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 3

ดาบฟันวิญญาณ
ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : ชินโซ(「神鎗」, Shinso, – หอกเทวะ)
คำปลดปล่อย : จงพุ่งสังหาร(「射殺せ」, ikorose, 射殺せ)
ลักษณะ : ดาบจะสั้นไม่เปลี่ยนรูปร่าง แต่เมื่อเล็งไปที่ศัตรูดาบจะยาว
ความสามารถ : ดาบจะยาวเข้าพุ่งหาศัตรู
ความสามารถ2 : แทงดาบลงที่พื้นแล้วปรากฏเป็นดาบยาวจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้น

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
ยังไม่ปรากฏ

หน่วยที่ 4 อุโนฮานะ เร็ตสึ

ลักษณะ/อุปนิสัย
อุโนฮานะ เป็นหญิงสาวถักผมเปียด้านหน้า เป็นคนใจเย็น แต่ถ้าโกรธเมื่อไหร่จะน่ากลัวขึ้นมาทันที (แม้แต่หน่วยที่ 11 ก็ไม่กล้าหือ) และเธอยังเป็นคนฉลาด ถึงกับมองออกว่าร่างของหัวหน้าไอเซ็นที่ตายไป ไม่ใช่ร่างที่แท้จริง ซึ่งเธอมีหน้าที่คอยรักษายมทูตที่บาดเจ็บจากการต่อสู้ โดยที่ทำการหน่วยที่ 4 คือ สถานพยาบาลอุโนฮานะ

ประวัติ
อุโนฮานะ มีประวัติที่ไม่แน่ชัด เพียงแต่เป็นยมทูตหัวหน้าหน่วยที่ 4 มานาน และยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสมาคมยมทูตสตรีแห่งโซลโซไซตี้อีกด้วย

ดาบฟันวิญญาณ

ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : มินาซึกิ (「肉雫唼」, Minazuki, 肉雫唼)
คำปลดปล่อย : จงร่ายรำ
ลักษณะ : ดาบจะแปรสภาพเป็นสัตว์คล้ายปลากระเบน แต่มีตาเดียว
ความสามารถ : สามารถรักษาบาดแผลและฟื้นร่างกายโดยการกลืนร่างผู้บาดเจ็บเข้าไปในท้องของมินาซึกิ
ในภาคการ์ตูนจะสามารถนำพลังกดดันวิญญาณมาเป็นอาวุธได้

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
ยังไม่ปรากฏ

หน่วยที่ 5 ไอเซ๊น โซสึเกะ

ลักษณะ/อุปนิสัย
ไอเซ็น เป็นอดีตยมทูตหัวหน่วยที่ 5 เป็นคนพูดจาสุภาพแต่แฝงไปด้วยความฉลาดเฉลียว ผมหยักศก สวมแว่นตา และใจดีต่อลูกน้อง ไม่เคยปล่อยให้ลูกน้องรับภาระหนัก และเมื่อลูกน้องในหน่วยตกอยู่ในอัตรายเขาจะมาช่วยเสมอ แต่ภายในใจเขาไม่เคยยึดติดกับความยุติธรรมและพร้อมที่จะกำจัดคนที่เห็นสมควรว่าจำเป็นต้องกำจัด ซึ่ง อ.คุโบะ ไทโตะ ได้กล่าวไว้ในการสัมภาษณ์ว่า "ไอเซ็นมีลักษณะเป็นคนลึกลับ" และสาเหตุนี้เองจึงเป็นตัวละครที่คิดร้ายในส่วนลึกของจิตใจนั่นเอง
ไอเซ็นสั่งการลูกน้องซึ่งเป็นอารันคาร์อยู่มากมายโดยก้าวผ่านได้ตามความต้องการ โดยเขาได้รับรู้เรื่องทั้งหมดผ่าน อุลคิโอร่า ชิฟเฟอร์ ที่ได้พูดคุยกับ อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อความทะเยอทะยานของตัวเอง หรือการก้าวผ่านความกลัวในตอนที่เขาข่มขู่ กริมจอว์ แจ๊คเกอร์แจ๊ค หลังจากถูกโทเซ็น คานาเมะตัดแขนและทำลายทิ้ง ถ้ากริมจอว์เข้าทำร้ายโทเซ็น ซึ่งเขาสามารถกำหนดชะตาชีวิตเหล่าอารันคาร์ได้โดยปราศจากความกลัว แต่ก็มีอารันคาร์บางตนที่ยอมทำตามคำสั่งของไอเซ็นเพื่อความต้องการของตนเอง อย่างเช่น ซาเอล อพอลโล่ แกรนซ์ ที่ต้องการกำจัดโลกที่ำไร้ฮอลโลว์ให้หมดสิ้น
จุดประสงค์ที่แท้จริงของไอเซ็น คือ การฆ่าพระราชาที่ปกครองโซลโซไซตี้ โดยเขาต้องการครอบครอง (「王鍵」, ōken, – กุญแจราชันย์?) ที่สามารถเข้าไปยังมิติที่ราชาอาศัยอยู่ โดยมีการเล่าสืบทอดกันมาในหมู่หัวหน้าใหญ่แห่ง 13 หน่วยพิทักษ์ ซึ่งไอเซ็นต้องการวัตถุดิบในการสร้างกุญแจราชันย์ด้วยการนำวิญญาณ 100,000 ดวงจากเมืองคาราคุระ
ในตอนที่อาศัยอยู่ในฮุเอโก้ มุนโด้ ไอเซ็นได้ถอดแว่นออกและเสยผมขึ้น แต่ดวงตาขอเขาก็เต็มไปด้วยอันตรายและทรงผมที่ดูแปลกตายิ่งขึ้น ในขณะที่ก่อนเขาจะออกไปจากโซลโซไซตี้ได้กล่าวกับ อุคิทาเกะ จูชิโร่ หัวหน้าหน่วยที่ 13 ไว้ว่า ตัวเขาเองจะก้าวพ้นขอบเขตพระเจ้า และหลังจากที่เขามายังฮูเอโก มุนโด้ได้สวมชุดสีขาวคล้ายชุดของอารันคาร์


ประวัติ
ไอเซ็น เดิมเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 5 ของ 13 หน่วยพิทักษ์ แต่ด้วยความต้องการที่จะก้าวพ้นขอบเขตของพลังของยมทูตและยึดครองทุกอย่าง จึงได้วางแผนต่างๆนานาเพื่อชิงโฮเคียคุที่อยู่ในร่างเทียมของคุจิกิ ลูเคีย มาเพื่อนำไปสร้างอารันคาร์ ฮอลโลว์ที่ได้รับพลังของยมทูตและมีดาบฟันวิญญาณเหมือนกับของยมทูตด้วย
อดีต
ไอเซ็นได้ทำงานอยู่ในหน่วยที่ 5 มาเป็นเวลานาน ขณะนั้นเขาเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 5 ภายใต้การบัญชาของหัวหน้าหน่วย ฮิราโกะ ชินจิ โดยฮิราโกะได้แต่งตั้งไอเซ็นเป็นรองหัวหน้าเพราะความไม่น่าไว้วางใจและเขารู้สึกรับรู้ถึงอันตรายในตัวไอเซ็น ไอเซ็นได้ทำการทดลองการกลายเป็นฮอลโลว์กับวิญญาณในโซลโซไซตี้อย่างลับๆ จนกระทั่งอุราฮาร่า คิสึเกะได้ค้นพบวิธีการดังกล่าว จึงแกล้งใส่ความให้ลงโทษคิสึเกะจนถูกเนรเทศออกจากโซลโซไซตี้ไปในที่สุด
ในขณะนั้นไอเซ็นได้ร่วมมือกับ อิชิมารุ งิน และ โทเซ็น คานาเมะ โดยเป็นนกต่อให้กับแผนการในครั้งนี้ ต่อมาไอเซ็นได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 5 และอิชิมารุได้เลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 5 และเป็นมือขวาคนสนิทของเขาอีกด้วย แต่ต่อมาอิชิมารุและโทเซ็นได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 3 และ 9 ตามลำดับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังจงรักภักดีต่อไอเซ็นเหมือนเดิม และเมื่อ ฮินาโมริ โมโมะ ได้เข้ามาเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 5 เขาก็ไม่เคยคิดว่าเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 5 เลยนอกจาก อิชิมารุ งิน เท่านั้น
ในขณะนั้นไอเซ็นได้รับ ฮินาโมริ โมโมะ, คิระ อิซึรุ และ อาบาราอิ เร็นจิ เข้ามาในหน่วยที่ 5 โดยรับฮินาโมริ และคิระที่น่าจะใช้การได้ไปเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 5 ของเขาเอง และหน่วยที่ 3 ของอิชิมารุ แล้วให้อาบาราอิ เร็นจิไปที่หน่วยที่ 11 แทน แต่ภายหลังเร็นจิได้มาเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 6


ดาบฟันวิญญาณ

ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : เคียวขะ ซุยเงสึ (「鏡花水月」, Kyōka Suigetsu, กระจก บุปผา จันทรา วารี, 鏡花水月)
คำปลดปล่อย : จงสลาย (「砕けろ」, kudakero, 砕けろ)
ลักษณะ : แล้วแต่จะกำหนดเช่นจะกำหนดให้หลอกจาก ผึ้งเป็น มังกร แล้วแต่ผู้ใช้จะกำหนดรูปร่าง
ความสามารถ : มีความสามารถในการสะกดโดยสมบูรณ์ซึ่งจะหลอนทุกประสาทสัมผัสได้อย่างเต็มที่และไร้ช่วงโหว่ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องให้ผู้ที่ต้องการสะกดโดยสมบูรณ์มองเห็นการปลดปล่อยดาบเล่มนี้ครั้งหนึ่งจึงจะแสดงผล แต่ก็ไม่สามารถใช้กับโทเซ็นได้เนื่องจากตาบอด(ขี้เกียจมองนั่นเอง)

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
ยังไม่ปรากฏ 


หน่วยที่ 6 คุจิกิ เบียคุยะ

ลักษณะ/อุปนิสัย
เบียคุยะ เป็นชายร่างสูง สง่างาม ที่หัวมีปิ่นปักผมของขุนนางชั้นสูง เขาเป็นคนเงียบครึม มักจะไม่ค่อยพูด เคร่งครัดในกฏระเบียบ ไม่ชอบแสดงความรู้สึกทางสีหน้า และที่สำคัญคือมักจะเย็นชากับคนรอบข้างเสมอ จนบางคนออกปากเรียกเขาว่า"เจ้าชายน้ำแข็ง" แต่แท้จริงแล้วเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่รักษาสัจจะอย่างแท้จริงคนหนึ่ง


ประวัติ 
คุจิกิ เบียคุยะ เป็นหัวหน้าตระกูล "คุจิกิ" 1 ใน 4 ตระกูลขุนนางชั้นสูงสุด และว่ากันว่าเบียคุยะนั้นมีฝีมือเก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ตระกูลคุจิกิอันยาวนาน เขาเป็นพี่ชายบุญธรรมลูเคีย และเป็นหัวหน้าหน่วย 6 ของ "13 หน่วยพิทักษ์" ซึ่งเขาได้รับลูเคียมาเป็นน้องสาวบุญธรรม เนื่องจากคำสัญญาของเขากับ "ฮิซานะ" ซึ่งเป็นพี่สาวที่แท้จริงของลูเคียและเป็นภรรยาของเขาซึ่งขอให้น้องสาวของตนเรียกเบียคุยะว่าพี่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องแหกกฎของตระกูล เขาจึงสาบานต่อหน้าสุสานของพ่อแม่ว่าจะไม่ทำผิดกฎอีกเป็นครั้งที่สอง และปิดเรื่องนี้เป็นความลับตลอดมา


ดาบฟันวิญญาณ

ขั้นต้น(ชิไค)

ชื่อ : เซ็นบงซากุระ (「千本桜」, Senbonzakura, – ซากุระพันกลีบ)
คำปลดปล่อย : "จงโปรยปราย" (「散れ」, chire, 散れ)
ความสามารถ : ตัวคมดาบจะกลายสภาพเป็นกลีบเล็กๆจำนวนนับพันกระจายออกคล้ายกลีบดอกซากุระ ซึ่งจะพุ่งเข้าเฉือนร่างของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและรุนแรง และสามารถใช้ในการตั้งรับได้อีกด้วย สามารถกันได้ทุกอย่าง

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ(บังไค)
ชื่อ : เซ็มบงซากุระคาเงโยชิ (「本桜景厳」, เงาหาญซากุระพันกลีบ, 本桜景厳)
ความสามารถ : ซึ่งตัวคมดาบทั้งหมดจะแตกออกเป็นกลีบซากุระจำนวนนับไม่ถ้วน และจะเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วสูงมากราวกับพายุ และถ้าใช้วิธีควบคุมด้วยมือ ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น2เท่า
รูปแบบที่ 1 = เบียคุยะจะปล่อยดาบจมลงดิน และผุดขึ้นมาเป็นคมดาบยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วยเรียงเป็นแถวยาวจนลับสายตา ซึ่งตัวคมดาบทั้งหมดจะแตกออกเป็นกลีบซากุระจำนวนนับไม่ถ้วน และจะเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วสูงมากราวกับพายุ และถ้าใช้วิธีควบคุมด้วยมือ ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น2เท่า
รูปแบบที่ 2 เซ็นเคย์ (「殲景」, เงาพิฆาต, 殲景) = ตัวกลีบคมดาบจะรวมกันกลายเป็นดาบเล็กๆนับร้อยล้อมรอบสถานที่ต่อสู้ ซึ่งเบียคุยะสามารถควบคุมให้ดาบพุ่งเข้ามาหาตัวเองหรือคู่ต่อสู้ได้ตามต้องการ เป็นการโจมตีที่จะปิดช่องทางหนีของศัตรู และจะเน้นการโจมตีเพียงอย่างเดียว
รูปแบบที่ 3 ชูเคย์ (「終景」, เงาสุดท้าย, 終景) : ฮาคุเทย์เค็น (「白帝剣」, ดาบจักรพรรดิขาว, 白帝剣) = กลีบคมดาบทั้งหมดจะมารวมกันเป็นดาบเดียว ซึ่งจะมีสีขาวส่องประกาย และจะมีแสงเป็นรูปปีกแตกออกสองข้าง เป็นการโจมตีขั้นสุดท้ายของเซ้มบงซากุระคาเงโยชิ
รูปแบบที่ 4 โกเคย์ (วงล้อมพิฆาต) = กลีบเซ็มบงซากุระจะล้อมรอบศัตรูและจะโจมตีพร้อมกันและไม่เคยมีใครรอด(ยกเว้นอิจิโกะแต่อิจิโกะก็เกือบตาย) ปรากฏครั้งแรกเมื่อการต่อสู้กับเอสปาดาหมายเลย 7 โซมารี เลอรูส์ 


หมายเหตุ เบียคุยะมีวิธีมารขั้นสูงที่ถนัดที่สุดคือ วิธีผนึกที่ 61 ริวคุโจโกโร (คุกแสงหกชั้น)

หน่วยที่ 7 โคมามูระ ซาจิน

ลักษณะ/อุปนิสัย
โคมามูระ เป็นตัวละครเพียงไม่กี่คนในเรื่องที่มีหน้าตาแปลกประหลาด เขามีหน้าเป็นหมาป่าและตัวเป็นคน(ซึ่งในเรื่องก็ยังไม่ได้ระบุถึงสาเหตุที่ชัดเจนนัก) จึงมักจะสวมหมวกปิดหน้าของตนเองอยู่เสมอ หลังจากศึกที่สู้กับซาราคิ เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น และไม่อายจนต้องใส่หมวกปกปิดหน้าตาอีกต่อไป เขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง และรักเพื่อนกับพวกพ้อง


ประวัติ 
เนื่องด้วยเขาเป็นคนที่เกิดมามีหน้าตาเป็นหมาป่า ทำให้มีปมด้อยในวัยเด็ก แต่เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจาก "ยามาโมโตะ เก็นริวไซ ชิเกคุนิ" หัวหน้าหน่วยที่ 1 แห่ง "13 หน่วยพิทักษ์" ทำให้เขาได้เข้าเป็นยมทูต โดยมีเพื่อนสนิทอย่าง"โทเซ็น คานาเมะ"อยู่ด้วยเช่นกัน


ดาบฟันวิญญาณ
ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : เท็นเค็น (「天譴」, Tenken, – เชือกดำ)
คำปลดปล่อย : "จงกู่ร้อง" (「轟け」, todoroke, 轟け)
ลักษณะ : จะเป็นดาบที่มีรูปร่างเหมือนตอนไม่ได้ปลดปล่อย แต่มีขนาดใหญ่
ความสามารถ : มีมือของปลดปล่อยสวัสดิกะออกมาถือดาบนั้นเพื่อฟันโจมตี มีพลังทำลายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ขั้นปลดปลอ่ยสวัสดิกะ (บังไค)
ชื่อ : โคคุโจเท็นเก็นเมียวโอ (「黒縄天譴明王」, Kokujō Tengen Myō'ō, – นรกบาลสวรรค์ดาบเชือกดำ)
ลักษณะ : จะปรากฏร่างของเทพเมียวโอ(พระพุทธแบบหนึ่งในความเชื่อของศาสนาพุทธ มีหน้าที่สั่งสอนเหล่าบัวใต้น้ำ)ขนาดใหญ่ยักษ์
ความสามารถ : เทพเมียวโอยักษ์จะเคลื่อนไหวโจมตีคู่ต่อสู้ตามการเคลื่อนไหวของโคมามูระ

เล็กๆน้อยๆ
โคคุโจ (「黒縄」, โลกันต์นรก, 黒縄) เป็นชื่อของหนึ่งใน 8 ขุมนรกในตำนานของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะเป็นนรกที่ลงโทษผู้กระทำผิดโดยการจับมัดด้วยด้ายดำ และตัดร่างกายเป็นท่อนๆ
โคคุโจเท็นเก็นเมียวโอ คาดว่าเป็นปลดปล่อยสวัสดิกะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เรื่องดำเนินมาถึงปัจจุบัน 


หน่วยที่ 8 เคียวราคุ ชุนซุย

ลักษณะ/อุปนิสัย
เคียวราคุ ชุนซุย ยมทูตหัวหน้าหน่วยที่ 8 ผู้มีเอกลักษณ์คือ สวมชุดคลุมสีชมพูลายดอกไม้ ปิ่นปักผมราคาแพงเสียบอยู่ โดยลักษณะนิสัยของชุซุย คือ นอนคาบกิ่งไผ่ทั้งวัน ไล่จีบหญิงทั่วเซย์เรย์เทย์ และชอบดื่มเหล้าโดยเฉพาะกับมัตสึโมโตะ รันงิคุ แต่เมื่อเขาจับดาบแล้วจะแสดงถึงความมุ่งมั่นและความน่าเกรงขามได้อย่างไม่น่าเชื่อ


ประวัติ 
ชุนซุยเกิดในตระกูล 1 ใน 4 ขุนนางชั้นสูง ร่ำเรียนวิชามาจาก ยามาโมโตะ เก็นริวไซ พร้อมๆกับ อุคิทาเกะ จูชิโร่ ซึ่งเป็นเพื่อนที่จบจากสถาบัน มาด้วยกัน ชุนซุยเป็นคนเรื่อยเปื่อยคอยจีบหญิงไปวันๆ แต่ปัจจุบันได้เป็นมาเป็นหัวหน้าหน่วย 8 โดยมี อิเสะ นานาโอะ ซึ่งเป็นทั้งรองหัวหน้าและผู้คุม (ความประพฤติ) ไปพร้อมๆกัน


ดาบฟันวิญญาณ
ขั้นต้น (ชิไค)ชื่อ : กะเท็นเคียวคตสึ (「花天狂骨」, Katen Kyōkotsu, – บุปผาสวรรค์กระดูกคลุ้มคลั่ง)
คำปลดปล่อย : "ดอกไม้โปรยปรายในสายลม เทพบุปผาคร่ำครวญ วายุสวรรค์ปั่นป่วน มารฟ้าเสสรวล" (「花風紊れて花神啼き天風紊れて天魔嗤う」, hana kaze midarete, kashin naki, tenpū midarete, tenma warau, 花風紊れて花神啼き天風紊れて天魔嗤う)
ลักษณะ : เดิมที กะเท็นเคียวค๊ตซึนั้นมี 2 เล่มอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากดาบของอุคิทาเกะ โดยดาบทั้ง 2 เล่มนั้น จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบที่ด้ามดาบจะมีพู่คล้ายดาบจีน คมดาบจะมีลักษณะคล้ายคมง้าวคล้ายดาบแขก
ความสามารถ : ผสานการโจมตีด้วยเพลงดาบและสายลม(ปรากฏในเกม bleach heat the soul/bleach blade battle)

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
ยังไม่ปรากฏ 


หมายเหตุ : เคียวราคุเป็นยมทูตคนเดียวที่พกดาบขณะที่ยังไม่ปลดปล่อย 2 เล่ม

หน่วยที่ 9 โทเซ๊น คานาเมะ

ลักษณะ/อุปนิสัย
โทเซ็น มีนัยน์ตาทั้งสองข้างที่มืดบอด ซึ่งเขามักจะใส่แว่นปกปิดไว้ และมีผิวสีคล้ำกับผมหยิก เหมือนกับคนแอฟริกัน เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยจะแสดงอารมณ์ของตนออกมาชัดเจนนัก เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และรักความยุติธรรมในแบบฉบับของตนเอง


ประวัติ 
ประวัติของโทเซ็นอาจจะยังไม่แน่ชัดนัก แต่ในอดีตเขาเคยสูญเสียหญิงคนรัก โดยที่เธอไปสมัครเข้าเป็นยมทูต แต่สุดท้ายสามีของเธอไม่พอใจเธอและฆ่าเธอตาย ทำให้เขาเข้ากับ 13 หน่วยพิทักษ์ เพื่อความต้องการที่จะเรียกร้องคุณธรรมของเขา หน่วยที่โทเซ็นเข้าในตอนแรกคือ "หน่วย 5" และมีเพื่อนสนิทคือ "โคมามูระ ซาจิน" เนื่องจากโทเซ็นตาบอดจึงมองไม่เห็นหน้าที่แท้จริงของเขาจึงเข้ากันได้ดี และต่อมาโทเซ็นก็ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าของหน่วยที่ 9


ดาบฟันวิญญาณ

ขั้นต้น(ชิไค)
ชื่อ : ซึซึมุชิ (清虫 , จิ้งหรีด)
คำปลดปล่อย : จงส่งเสียง (鳴け , นาเคะ)
ลักษณะ จะคงลักษณะของดาบคาตานะไว้
ความสามารถ แบบที่ 1 จะปล่อยคลื่นเสียงออกมา ทำให้ผู้ที่ได้ยินหมดสติ
แบบที่ 2 เบนิฮิโค (紅飛蝗 , ตั๊กแตนสีเลือด) จะสร้างใบดาบจำนวนมากและสาดใส่คู่ต่อสู้แบบห่าฝน

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ(บังไค)
ชื่อ : เอ็นมะโคโรกิ (閻魔蟋蟀 , จิ้งหรีดพญายม)
ลักษณะ : จะสร้างห่วงขึ้นมา 8 ห่วง ซึ่งมันจะขึงตัวเองเป็น 8 มุมและเกิดเป็นโดมขนาดใหญ่สีดำ ครอบคลุมผู้ใช้ คู่ต่อสู้ และบริเวณพื้นที่ต่อสู้ทั้งหมด
ความสามารถ : เมื่อคู่ต่อสู้ถูกขังอยู่ในโดมสีดำ จะสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมด(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสพลังกดดันวิญญาณ ยกเว้นกายสัมผัส)ทำให้ยากที่จะตอบโต้ผู้ใช้ได้ ผู้ที่สัมผัสดาบ ซึซึมุชิ เท่านั้น ที่จะรับรู้ประสาทสัมผัสทั้งหมดได้อย่างปกติ 


หน่วยที่ 10 อิสึกายะ โทชิโร่

ลักษณะ/อุปนิสัย
ฮิซึกายะเป็นหัวหน้าหน่วยที่รูปร่างเล็กที่สุดและน่าจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดา หัวหน้าหน่วยด้วย ฮิตสึกายะกังวลกับความสูงของตนเองมาก ฮิตสึกายะมีผมสีขาวราวกับหิมะ แววตาและสีหน้าคมเข้มแทบจะตลอดเวลา เป็นคนฉลาดและมีความสามารถมาก นิสัยออกจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว หยิ่งนิดๆ แต่มีความรับผิดชอบสูง เป็นเด็กอัจฉริยะ


ประวัติ 
ฮิซึกายะเกิดในเมืองลูคอนตะวันตกเขต 1(จุนรินอัน) และเป็นเพื่อนกับฮินาโมริ แม้จะเข้าโรงเรียนยมทูตทีหลัง แต่กลับรุดหน้าด้วยพลังกดดันวิญญาณสูงยิ่งยวด จึงแซงหน้าฮินาโมริ ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 10 และนับเป็นหัวหน้าหน่วยที่อายุน้อยที่สุดภายในเรื่อง


ดาบฟันวิญญาณ
ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : เฮียวรินมารุ (「氷輪丸」, Hyōrinmaru, – วงแหวนน้ำแข็ง)
ท่วงทำนองวิญญาณ : "จงสถิตเหนือฟ้าเหมันต์" (「霜天に坐せ」, sōten ni zase, 霜天に坐せ)
ความสามารถ : สร้างน้ำแข้งให้ออกมาในรูปมังกรควบคุมสภาพอากาศได้และใช้โซ่ที่ออกมาจากด้ามดาบในการช่วยตรึงศัตรู และข่มขืนศัตรู

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
ชื่อ : "ไดกุเร็น เฮียวรินมารุ" (「大紅蓮氷輪丸」, Daiguren Hyōrinmaru, – วงแหวนน้ำแข็งดอกบัวโลหิต)
รูปแบบ : หลังจากใช้จะมีน้ำแข็งจำนวนหนึ่งห้อหุ้มแขนขวาของฮิตสึกายะไว้ และงอกออกไปเป็นปีก 1 คู่ ใช้ในการตั้งรับ และจะมีดอกไม้สี่แฉกออกมา โดยดอกไม้เหล่านี้จะเป็นบอกเวลาของการใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ เมื่อกลีบของดอกไม้หายไปทั้งหมดปลดปล่อยสวัสดิกะก็จะสลายไป
ความสามารถ : เมื่อฟันใส่ศัตรูน้ำแข็งจะเกาะที่ร่างของศัตรู และทำให้ทั้งร่างของคู่ต่อสู้เป็นน้ำแข็ง หรือจะปล่อยพลังออกมาในรูปมังกรน้ำแข็งเพื่อโจมตีระยะไกลก็ได้
รูปแบบที่ 2 : "เซ็นเน็นเฮียวโร" (「千年氷牢」, sennen hyōrō, – คุกน้ำแข็งพันปี)
ความสามารถ : สร้างเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ล้อมรอบและบีบอัดแช่แข็งศัตรูไว้


เกร็ดความรู้ -ฮิตซึกายะ มีของโปรดคือ นัตโตะหวาน ที่ยายชอบ -ฮิตซึกายะ ตั้งใจทำงาน เพราะทำเสร็จจะได้ไปนอน เพราะยายเคยบอกว่ายิ่งนอน ก็ยิ่งโต

หน่วยที่ 11 ซาราคิ เคมปาจิ


ลักษณะ/อุปนิสัย
เคนปาจิ เป็นชายร่างใหญ่ ไว้ผมทรงหนามและมีกระดิ่งห้อยที่ปลายเส้นผม ตาขวาของเขามีผ้าปิดตาที่ของงานวิจัยของหน่วยที่ 12 ผลิต เอาไว้เพื่อกัดกินพลังวิญญาณที่ส่วนเกิน บนหลังของเขาจะมียาจิรุเกาะอยู่เสมอ เคมปาจิเป็นคนที่ชื่นชอบการต่อสู้ และไม่สนใจศัตรูที่อ่อนแอกว่าตนเอง เขาไม่มีทั้งชิไคและบันไค แต่ในการต่อสู้ของเขาจะใช้พลังวิญญาณล้วนๆในการต่อสู้กับศัตรู


ประวัติ 
เคมปาจิ มาจากเขตเมืองลูคอนที่ 80 ที่ชื่อว่า "ซาราคิ" โดยชื่อ "เคมปาจิ" เป็นชื่อที่มอบให้กับยมทูตที่เก่งกาจและชอบการฆ่าฟันมากที่สุด เขาได้พบกับยาจิรุในเมืองลูคอนเขตที่ 79 ทันทีที่เขาเข้าบรรจุใน 13 หน่วยพิทักษ์ เขาได้ดวลกับหัวหน้าหน่วยและฆ่าอดีตหัวหน้าหน่วยที่ 11 และตนเองได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 11 แทน แม้ว่าเขาจะไม่รู้ชื่อดาบฟันวิญญาณของตัวเอง และไม่สามารถปลดปล่อยดาบทั้งขั้นต้นและปลดปล่อยสวัสดิกะได้เลย แต่ด้วยเพราะความสามารถและมีความมุ่งมั่นจึงเป็นหัวหน้าหน่วยคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถปลดปล่อยดาบได้


ดาบฟันวิญญาณ
ชื่อ :ไม่ทราบชื่อดาบ

เกร็ดความรู้
เคมปาจิสามารถบรรจุในหน่วยที่ 11 ได้โดยวิธีการเอาชนะหัวหน้าหน่วยที่ 11 คนก่อนได้โดยมีสมาชิกหน่วย 200 คนเป็นพยานยืนยัน 


หน่วยที่ 12 คุโรซึจิ มายูริ

ลักษณะ/อุปนิสัยปกติมักจะใส่หน้ากากประหลาดอยู่โดยตลอดทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้จักใบหน้าที่แท้จริง นอกจากนี้ร่างกายส่วนใหญ่ของเขายังได้รับการดัดแปลงจนสภาพไม่เหมือนกับปกติ เช่น แขนขายืดหดได้ไม่ก็สามารถงอกได้เมื่อได้รับยากระตุ้น ซึ่งหน้าที่แท้จริงของเขานั้นจะออกดูไม่ผอมมากนัก ตามในฉบับอะนิเมะมีผมสีฟ้า นิสัยเป็นคนที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว และบ้าในงานวิจัยของตนเองมากจนเหมือนจะเป็นคนวิปริตสติเฟื่อง

ประวัติ 
คุโรซึจิ เป็นหัวหน้าหน่วยที่ 12 ในอดีตมายูริเป็นบุคลที่อันตรายมากของโซไซตี้ จึงถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของหน่วยลับแต่ อุราฮาร่า คิสึเกะ ได้เห็นถึงความสามารถและความฉลาดที่ยมทูตคนอื่นๆไม่มีจึงรับมายูรมาทำงานที่กองวิจัย ซึ่งมายูริเป็นคนที่รับช่วงต่องานวิจัยต่างๆต่อจากหัวหน้าหน่วย 12 "อุราฮาร่า คิสึเกะ" เขาเข้าควบคุมดูแลงานของกองวิทยาการ ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจในงานวิจัยของตนเองเท่านั้นแต่ของใช่ต่างๆของยมทูตในปัจุบันล้วนถูกสร้างจากมายูริทั่งนั้น ถือว่าเป็นยมทูตที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญก้าวหน้าของโซไซตี้และสฎคัญอย่างขาดไม่ได้ สังเกตได้จากเวลามีเหตุอะไรเกิดขึ้นหน่วยวิจัยจะต้องพบข้อมูลก่อน และต้องสร้างเครื่องมือต่างๆไว้รับมือกับศัตรู โดยหัวหน้าหน่วย1ต้องของความช่วยเหลือจากกองวิจัยเป็นประจำ และในเรื่องมายูริดูเป็นยมทูตที่ฉลาดที่สุดอีกด้วย


ดาบฟันวิญญาณ


ขั้นต้น (ชิไค)
ชื่อ : อะคิโซกิจิโซ (「疋殺地蔵」, Ashisogi Jizō, 疋殺地蔵)
คำปลดปล่อย : "จงฉีกกระชาก" หรือ "จงขีดข่วนกระชาก"(「掻き毟れ」, kakimushire, 掻き毟れ)
ลักษณะ : ตัวดาบจะกลายสภาพเป็นดาบสีเหลืองทองที่มีเงี่ยงแหลมออกมาคล้ายกับกริช และที่ส่วนด้ามจะมีลักษณะเป็นส่วนหัวของจิโซ (รูปเทวรูปรูปเด็ก/เณร ที่ตั้งอยู่ตามท้องถิ่นในญี่ปุ่นคล้ายกับพระพุทธรูปในพระพุทธศาสนา มีความเชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้าที่ถูกส่งมาเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินในตำนานของญี่ปุ่น)ซึ่งมีความสวยงามมาก
ความสามารถ : จะทำให้ผู้ที่ถูกฟันสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ยาชา โดยความเจ็บปวดจะไม่หายไปแม้แต่น้อย

ขั้นปลดปล่อยสวัสติกะ (บังไค)
ชื่อ : คอนจิกิอะชิโซกิจิโซ (「金色疋殺地蔵」, Ashisogi Jizō, – อะชิโซกิจิโซสีทอง)
ลักษณะ : เป็นร่างของจิโซขนาดยักษ์ ที่มีส่วนช่วงล่างเป็นหนอนชาเขียว มีดาบจำนวนมากอยู่ที่อกและท้องและร่างมีสีทอง
ความสามารถ : สามารถปล่อยพิษที่ทำจากเลือดของตัวเองได้ในรัศมี 100 เค็น (1 เค็น = 1.8 เมตร) ส่วนชนิดของพิษนั้นมายูริจะเปลี่ยนทุกครั้ง (เพื่อป้องกันผู้โดนพิษแล้วมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งถือเป็นความฉลาดที่น่ากลัวของมายูริเลยทีเดียว) และสามารถใช้ใบดาบขนาดใหญ่ออกมาโจมตีประมาณ200เล่ม หรือจะให้จิโซยักษ์เขมือบคู่ต่อสู้ก็ได้ ทั่งนี้จิโซยักษ์ยังสามารถมุดลงดินได้ และถ้าหากจิโซยักษ์จะทำการโจมตีมายูริไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใด จิโซยักษ์ก็จะระเบิดตัวเองทันที เป็นกลไกทีมายูริเป็นคนสร้าง ถือว่ามายูริมีความรอบคอบมากในทุกๆด้าน

ทักษะเพิ่มเติม
- การใช้ทุ้นระเบิดในจังหวะที่ศัตรูเผลอ - ใช้ยาพิเศษเพื่อสร้างแขนขึ้นมาใหม่ - ดึงปุ่มที่หูออกมาเป็นเชือกที่มีใบมีดที่ส่วนปลาย


หน่วยที่ 13 อุคิทาเกะ จูชิโร่ 

ลักษณะ/อุปนิสัย
อุคิทาเกะ จูชิโร่ มีรูปลักษณ์ของชายอายุราว 20 ปี ลักษณะเด่นของเขาคือผมที่ขาวโพลนทั้งศีรษะ เนื่องมาจากอาการวัณโรค เขาป่วยหนัก 3 วัน 3 คืน จนผมกลายเป็นสีขาว เขามีใบหน้าที่ดูสงบแต่ก็ยิ้มแย้มอยู่เสมอ เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก จนใครๆก็รักใคร่ และได้รับการนับถือทั้งจากคนทั้งหน่วยเดียวกันและหน่วยอื่นทั้งในด้านอุปนิสัยและความสามารถที่โดดเด่น เสียอย่างเดียวคือ ร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงต้องล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บ่อยครั้ง เนื่องมาจากเป็นโรคปอดมาตั้งแต่เด็ก


ประวัติ 
อุคิทาเกะ จูชิโร่ เกิดในตระกูลขุนนางชั้นล่างของโซลโซไซตี้ เป็นพี่ชายคนโตของพี่น้องจำนวน 8 คน ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและอุปนิสัยที่มีอัธยาศัยดี เขาจึงสามารถขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยรุ่นแรกๆที่จบจากสถาบันวิญญาณชินโฮได้ไม่นาน และเข้ามาเป็นหัวหน้าของหน่วยที่ 13 ซึ่งแน่นอนว่า เป็นหัวหน้าของคุจิกิ ลูเคียเช่นกัน แต่ติดที่เขามักจะป่วยกระเสาะกระแสะกับโรคประจำตัวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไม่ค่อยออกไปดูแลหน่วยเท่าที่ควร ซึ่งเขาได้ให้ชิบะ ไคเอ็นรองหัวหน้าคอยดูแลหน่วยแทนให้ จนเมื่อไคเอ็นเสียชีวิตลง ก็ได้อันดับสามของหน่วยทั้งสองคนอย่างโคเท็ตสึ คิโยเนะและโคสึบากิ เซ็นทาโร่เป็นคนคอยช่วยเหลือการดูแลหน่วยแทน


ดาบฟันวิญญาณ

ขั้นต้น(ชิไค)
ชื่อ : โซเกียวโนะโคโตวาริ (「双魚理」, Sōgyo no Kotowari, – สัจจะมัจฉาคู่)
คำปลดปล่อย : "จงเป็นโล่ให้ข้าดั่งเกลียวคลื่น จงเป็นดาบให้ข้าดั่งสายฟ้า" (「波悉く我が盾となれ雷悉く我が刃となれ」, nami kotogotoku waga tate to nare, ikazuchi kotogotoku waga yaiba to nare, 波悉く我が盾となれ雷悉く我が刃となれ)
ลักษณะ : ตัวดาบจะแยกออกเป็นสองเล่ม ซึ่งจะมีสายร้อยถึงกันที่ปลายด้ามดาบซึ่งจะมีแผ่นเครื่องรางโลหะเล็กๆห้อยติดอยู่ตามสาย และคมดาบจะมีลักษณะเป็นซี่แยกเป็นงุ้มไปด้านสัน
ความสามารถ : ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ในเกม Bleach GC: Tasogare Ni Mamieru Shinigami ของเครื่อง GameCube นั้นได้ระบุว่าเป็นการควบคุมสายฟ้า
แต่ในเกม Bleach:Heat the soul 5 ระบุว่าควบคุมได้ทั้งน้ำและไฟฟ้า

ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ(บังไค)
ยังไม่ปรากฏ